Final FantasyXV Fan Fiction
*CHAPTER 10 SPOILER ALERT*
Title : insist
Pairing : Gladiolus/Ignis
Rate : NC-17
Note : บทสนทนาที่ใช้มาจากเกมเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นซึ่งใช้คำต่างจากเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ อาจมีเนื้อหาไม่ตรงกัน
สายฝนพร้อมเสียงกัมปนาทหยุดลง ร่างไร้สติของว่าที่ราชันย์ถูกปฐมพยาบาลและนำไปพักฟื้นอย่างทันท่วงที
พวกเขาพยายามถึงที่สุดแล้วแต่ผลลัพธ์อันน่าสลดนั้นก็มิอาจคาดเดา
กลาดิโอลัสวางร่างไร้สติลงบนเตียงท่ามกลางความนิ่งงัน ลมหายใจของคนที่ต้องปกป้องแผ่วจนน่าใจหายทว่ามันก็เป็นสัญญาณของการมีชีวิต
…ยังคงอยู่ ราชาของพวกเขา...
“แหวนล่ะ?..” เสียงเย็นๆถามขึ้น เมื่อสถานการณ์เริ่มสงบลง คนถูกถามปรายตามองสำรวจทั่วร่างของคนที่กำลังนอนนิ่ง
“มือน็อคกำแน่นไม่ยอมปล่อยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว คงจะเป็นแหวนนั่นล่ะ” เขาพูดตอบอีกคนดูมีท่าทางผ่อนคลายขึ้นบ้าง มือของเขาแตะเข้าเบาๆที่ศอกของอิกนิส “นายเองก็เจ็บหนัก ไปพักซะบ้างเถอะ”
อิกนิสไม่ได้ตอบคำพูดนั้น เขาควานมือเปะป่าย พยายามจะหาเก้าอี้ในทิศทางที่ควรจะมีมันอยู่ พรอมโต้เดินเข้ามาเหมือนรู้ด้วยสัญชาตญาณ “เก้าอี้อยู่ทางนี้อิกนิส”
เขาเดินตามแรงดึงของคนตัวเล็กกว่าที่ได้ยินแค่เสียงก็รู้สึกได้ว่าหม่นหมองไปกว่าปกติ
“ฉันจะอยู่เฝ้าจนกว่าน็อคจะฟื้น” กล่าวเรียบหลังจากนั่งลงกับที่เรียบร้อย
“หา!?” กลาดิโอกระชากเสียงคิ้วมุ่นหนัก “อยู่ที่นี่แล้วนายทำอะไรได้หรือไง?!”
“…ใช่ว่าไปอยู่ห้องอื่นแล้วฉันจะพักได้ลง…” อิกนิสสวนคำด้วยเสียงเรียบนิ่ง นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่จะตัดบทสนทนาและทุกคนก็รู้ดี
คนตัวใหญ่กระฟัดกระเฟียดออกจากห้องพัก ตามหลังด้วยพรอมโต้ที่ลังเลและดูทำอะไรไม่ถูกเข้าในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ “ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ตลอดนะอิกนิส” เจ้าตัวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ดึงประตูให้ปิดลง
ความเงียบโรยตัวยิ่งกว่าเดิม อิกนิสเงี่ยหูฟังเสียงหายใจผ่อนช้าของคนบนเตียง เขาดึงถุงมือข้างนึงออก สัมผัสผ้าผืนบางที่พันอยู่รอบดวงตาของตน เขามีความสามารถในการรักษาและได้ใช้มันปฐมพยาบาลเบิ้องต้นอย่างทันท่วงที ทำให้มันไม่ลุกลาม จากทีรับรู้ผ่านปลายนิ้วบาดแผลนั้นแห้งสนิทดี เขาไม่รู้ชัดนักว่ามันมีสภาพเป็นอย่างไร รู้เพียงแค่ความมืดสนิทที่โรยตัวอยู่นี้อาจไม่จากเขาไปไหนอีก
อิกนิสยอมรับว่ากลัว แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำอะไรได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือคนที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ในขณะนี้ต่างหาก คนที่พวกเขาต่างรู้ดีว่าต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่
น็อคทิสสูญเสียอะไรไปมากโดยที่เจ้าตัวไม่รู้และไม่อาจเลือกได้ เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ความมืดนี้ก็เป็นแค่ก้อนหินที่ทำให้ปลายเท้าสะดุดก็เท่านั้น
ราชเลขาแห่งลูซิสผ่อนลมหายใจในความสงัด ถือโอกาสใช้ช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวนี้จัดระบบความคิดอันวุ่นวายให้เข้าที่เข้าทาง
………………………………………..
เสียงลมหายใจสะดุดพร้อมเสียงสวบสาบดังขึ้นในวันที่สาม อิกนิสรับรู้ได้ในทันทีว่าคนที่ตนเฝ้ารอได้ตื่นขึ้นแล้ว บทสนทนาที่แสนเศร้าแต่น็อคทิสจำเป็นต้องรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังจากที่หมดสติไป
หากเทียบกันในกลุ่มพวกเขาแล้ว อิกนิสก็ดูจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการแจ้งข่าวสำคัญครั้งนี้ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนักก็ตาม
ความเงียบนั้นทำให้รู้ว่าน็อคทิสกำลังพยายามทำตัวเข้มแข็ง อีกฝ่ายเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่รู้จักกันมา เขาคิดว่าคงจะดีกว่านี้หากน็อคทิสยอมปลดปล่อยมันออกมาบ้างอย่างน้อยก็ในเวลานี้
..แต่เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้บทสนทนาจบลงเท่านั้น…
“ฉันจะไปเรียกคนอื่น” เขาพูดขึ้นลอยๆ ทิ้งเวลาครู่หนึ่งเพื่อให้น็อคทิสได้ตั้งตัว เขาเดินอย่างทุลักทุเลเล็กน้อยแต่มันก็คุ้นชินกว่าเมื่อสองวันที่ผ่านมามาก
ประตูบานใหญ่ถูกผลักออก โดยไม่ต้องพูดอะไรเสียงฝีเท้าหนึ่งก็วิ่งสวนเข้าไปในห้องทันที พรอมโต้คงรอวินาทีนี้อยู่นานแล้ว
อิกนิสเดินต่อแม้ไม่ได้ยินเสียงแต่เขาก็รู้ดีว่าร่างสูงใหญ่ของกลาดิโอลัสกำลังเฝ้ามองเขาจากอีกฟากของห้อง ดูไม่ให้เขาก้าวพลาดไปชนอะไรเข้า และแน่นอนว่าเจ้าตัวยังคงหงุดหงิดมากทีเดียว
…ทางขวามืออีกสามก้าวจะถึงแจกันประดับใหญ่ ห้าก้าวจากนั้นจะถึงประตูห้อง…
เขาจดจำรายละเอียดของห้องได้ดีพอสมควรทีเดียว เพราะไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับมามองเห็นได้อีก แต่กระนั้นเขาก็จงใจเดินเข้าไปใกล้แจกันนั่น แล้วทำเป็นเกี่ยวมันด้วยปลายไม้เท้า
ไม่ต้องนับถอยหลัง มีแรงกระชากดึงจากด้านหลัง ไม่รุนแรงจนเสียหลักแต่ก็หยุดการเคลื่อนไหวของเขาไว้ได้พร้อมกับเสียงกรุ่นต่ำ “ขอความช่วยเหลือหน่อยมันจะตายหรือไง”
อิกนิสไม่ได้พูดตอบ เขากะระยะทิศทางและความใกล้ของเสียงที่แนบแทบจะติดใบหูของตนแล้วพิงหลังแนบลงกับอกของคนที่เข้ามารับ “ยังโกรธอยู่อีกเหรอ?”
เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองไม่หลับไม่นอนเฝ้าว่าที่ราชาในอนาคต และตอนนี้กลาดิโอก็รู้สึกตัวแล้วว่าถูกอีกคนหลอกเข้าให้ เขาถอนใจหน่าย ทั้งกับอีกฝ่ายแล้วก็ตัวเองที่ตกหลุมง่ายๆเสียทุกที มือใหญ่ละออกจากการรั้งดึงแขนนั่น แต่ยังยืนนิ่งปล่อยให้อีกคนพิงเอาตามใจ
…ไม่พอใจขึ้นมาอีกที่อิกนิสแสดงการง้อเขาเพียงเท่านี้ตัวเองก็ใจอ่อนเอาง่ายๆ
นานๆครั้งอิกนิสจะทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าตัวรู้สึกผิด แต่เป็นเพราะต้องการลดแรงตึงระหว่างเขาทั้งคู่ เวลาที่เขาหงุดหงิดราชเลขาที่ไม่ชอบการแตะต้องตัวเกินกว่าเหตุในที่สาธารณะนั้นจะยอมลดการ์ดลงและเป็นฝ่ายเข้าใกล้เขาเองแบบนี้ แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่มันก็ได้ผลเสียทุกครั้งจริงๆ
“ถึงฉันจะไม่โกรธ แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นด้วยหรอกนะ”
คนฟังยกรอยยิ้มจางๆที่มุมริมฝีปาก เจ้าของแผ่นอกที่เขาอิงแนบอยู่นั้นบรรยากาศอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
…แต่ก็ยังหัวแข็งอยู่ดี…
ได้แต่รำพันในใจก่อนจะละขึ้นยืนดีๆแล้วหันไปประจันหน้าอีกคน นึกใจหายขึ้นมาที่จะไม่ได้เห็นใบหน้านั่นอีก เขายกมือขึ้นกะระยะจากความเคยชิน แนบฝ่ามือเข้ากับใบหน้านั้น สัมผัสแนวสันกรามคมชัดอย่างเคยมือ “หายโกรธก็ดีแล้ว..”
แน่นอนว่าในตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมาพวกเขาทะเลาะกันนับครั้งไม่ถ้วนถึงอนาคตหลังจากนี้ กลาดิโอลัสไม่เห็นว่าอิกนิสจะสามารถร่วมทางกับพวกเขาอีกต่อไปได้จากสภาพดวงตาในตอนนี้ และแน่นอนว่าราชเลขาที่หัวแข็งไม่แพ้กันนั้นย่อมไม่เห็นด้วยและหาเหตุผลนานับประการขึ้นมาหว่านล้อม การทุ่มเถียงที่ไม่มีทางออกนั้นทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่จะสามารถปรามได้นั้นนอนนิ่งไม่ได้สติ
เจ้าของใบหน้าอิงแนบกับอุ้งมือเพรียวยาว งับปลายนิ้วที่คลอเคลียอยู่ใกล้ริมฝีปากของตนอย่างหยอกเอิน ก่อนจะโน้มใบหน้าลงแนบจูบบนริมฝีปากของคนที่ยังไม่ได้ตั้งตัว
อิกนิสรู้สึกลังเลเพราะพวกน็อคทิสนั้นอยู่ห่างออกไปแค่ประตูห้องกั้น แต่สติสัมปชัญญะของเขาก็เริ่มไม่ค่อยทำงานเท่าไหร่แล้ว เขาแนบตอบสัมผัสที่ชวนให้รู้สึกเจ็บลึกๆในใจขึ้นมานั้นด้วยริมฝีปากของตัวเอง เป็นความจริงที่พอดวงตามองไม่เห็นร่างกายก็พาลพึ่งพาสัญชาตญาณด้านอื่นทั้งหมดขึ้นมาแทน เขายืนตัวเกร็ง สัมผัสง่ายๆที่คุ้นเคยนั้นก็กลับไม่รู้สึกเหมือนเดิมจนกังวลใจขึ้นมา
เขาไม่รู้ว่าอีกคนกำลังจะทำอะไร ไม่รู้ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังลอบมองปฏิกิริยาของเขาเหมือนเคยหรือเปล่า และสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้อิกนิสประหม่าขึ้นมาเมื่อจูบเผินๆนั้นเริ่มจะลึกล้ำขึ้น ร่างของเขาสะดุ้งมันไม่ใช่สิ่งที่ห้ามได้ เขากระถดปลายลิ้นหนีสัมผัสจากอีกคนและส่งเสียงครางต่ำลอดลำคอ
ริมฝีปากถูกเม้มกัดแต่ฝ่ายตรงข้ามก็ยอมละสัมผัสออกง่ายจนเขาคาดไม่ถึง “…?”
กลาดิโอลัสไม่ได้พูดอะไรกับท่าทีเชิงปฏิเสธนั้นแต่อิกนิสก็ได้ยินอีกคนทำเสียงต่ำๆกึ่งไม่พอใจในคอ
“กลาดิโอ..?”
อีกคนเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตามปกติ “ฉันจะเข้าไปดูน็อคหน่อย”
เขาพยักหน้ารับคืนสีหน้าเป็นปกติตาม ได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนห่างออกไป “เรื่องจากนี้ฉันจะรอให้น็อคเป็นคนตัดสินใจ”
ไม่มีคำตอบรับกลับมาแต่เขารู้ว่าอีกคนได้ยิน และคิดแบบนั้นเช่นกัน
………………………………………..
ทุกคนกำลังหมดอาลัยตายอยาก… เรียกไม่ผิดนักเพราะบรรยากาศมันชวนให้คิดแบบนั้นจริงๆสำหรับคนที่มองอะไรไม่เห็นอย่างเขา
น็อคทิสที่ดูจะหมดแรงทำอะไรไปจนสิ้น นั่งคลึงแหวนที่คล้องอยู่ที่คอใต้เสื้อ ดูเหมือนว่าด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถสวมมันได้ในตอนนี้ แต่เจ้าตัวดูเหมือนกำลังรู้สึกว่าจะอะไรก็ช่าง
พรอมโต้ก็เหมือนกัน เมื่อเพื่อนที่เขาดั้นด้นติดตามออกจากเมืองนั้นไม่มีกะใจจะทำอะไร เจ้าตัวก็พลอยติดเชื้อไปด้วยเสียแบบนั้น
…จะว่าไม่เข้าใจก็คงไม่ใช่…
เขาอยากให้เวลาน็อคทิส มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่สถานการณ์ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจะมาเอ้อระเหยอย่างสบายใจได้อีกแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงต้องเดินทางกันต่ออย่างช่วยไม่ได้
ภายในรถไฟที่มุ่งตรงสู่เทเนแบร เสียงคุยขวักไขว่นั้นดูห่างไกลเหลือเกินสำหรับเขาที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนที่เป็นใบ้ไปตามๆกัน
นี่เป็นสัปดาห์ที่สามแล้วจากเหตุการณ์นั้น สวนทางกับน็อคทิสที่เงียบลงเรื่อยๆ กลาดิโอลัสนั้นเจียนจะระเบิด และเหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นในทันทีที่นึกถึง ราชองครักษ์พูดจาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเมื่อเทียบกับแผลที่ยังสดใหม่
“นายคิดว่าทุกคนเสียสละเพื่อจะให้นายมานั่งเฉยๆอยู่แบบนี้รึไง?! ดูอิกนิสสิ!”
“กลาดิโอพอได้แล้ว..”
“คิดว่านายเป็นราชา.. แต่ที่แท้ก็แค่เด็กขี้ขลาด”
“อย่าพูดแบบนั้น!..”
เขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างจะได้ยืนก็เพียงเสียงทุ่มเถียงและการกระชาก แต่มันคงรุนแรงพอตัวพรอมโต้จึงได้ลุกเข้าไปขวางแม้จะจบลงที่โดนผลักออกมานอกวงอย่างไม่ใยดี
“ฉันเข้าใจแล้วน่า!!!” น็อคทิสกระชากเสียงกลับ “เข้าใจทั้งหมดนั่นล่ะ!”
“ถ้างั้นก็เลิกงอแงเป็นเด็กๆ แล้วก้าวต่อไปได้แล้ว!”
น็อคทิสพูดต่อไม่ออกเสียงสบถดังขึ้นในลำคอ เสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่แยกไปคนละทาง เหตุการณ์จบลงเพียงเท่านั้นเพราะเขาเองก็ไม่สามารถจะเลือกตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปได้
กระทั่งเดินทางเข้าไปจนจะถึงสุสานถัดไปอยู่แล้วความตึงเครียดนั้นก็ยังไม่คลายลงเลยแม้แต่น้อย
น็อคทิสนั้นแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ไว้บนบ่าเล็กๆ พร้อมกับบาดแผลที่จวนจะขาดวิ่น หน้าที่ของราชานั้นยิ่งใหญ่ เขาไม่เคยข้องใจในตัวของน็อคทิส แต่ก็อีกนั่นแหละ ในความเป็นจริงแล้วน็อคทิสก็ยังเป็นวัยรุ่นหัวร้อนคนหนึ่งที่สูญเสียสิ่งที่รักแทบจะทั้งหมดไปในเวลาอันสั้น ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเสียศูนย์ไป
ราชองครักษ์อาจไม่รู้ แต่เขาที่เดินตามมาโดยเว้นระยะไว้นั้นได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่แทบจะทั้งหมด รู้ดีว่าที่กลาดิโอพูดนั้นเพียงเพื่อต้องการกระตุ้นให้น็อคทิสก้าวเดินต่อไปได้โดยเร็วที่สุด เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ไม่ห้าม หากบาดแผลในตอนนี้มันลึกเกินกว่านั้น และคำพูดเหล่านั้นก็ไม่อาจทำให้มันเต็มตื้นขึ้นมาได้
เขามองไม่เห็นแต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้ การได้คลุกคลีกับคนทั้งคู่มาตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เขารู้ว่าทั้งราชาและองครักษ์นั้นนิสัยเหมือนกันยังกับอะไร ทั้งสองคนนั้นหัวร้อนและเอาแต่ใจ เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงไม่มีใครคิดที่จะลงให้ก่อน ความมึนตึงนี้จึงใกล้จะถึงการระเบิดอีกครั้งอยู่ในที
หากเป็นในเวลาปกติแล้วตัวเขาคงแบ่งเบาความตึงเครียดนั้นลงมาได้ไม่มากก็น้อย แต่ด้วยการที่ร่างกายของเขาเป็นแบบนี้ ทำให้กลาดิโอไปพาลลงกับน็อคทิสเอาโดยตรง เหตุการณ์ที่วนลูปซ้ำๆอยู่นี่ก็ทำให้เขาเองก็ทนกับบรรยากาศไม่ไหวขึ้นมาเช่นกัน
“รอก่อน…” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด ท่ามกลางความตึงเงียบที่มีเพียงเสียงก้าวผ่านแอ่งน้ำ
“เป็นอะไรรึเปล่า?” กลาดิโอหันกลับมาถาม ทุกคนหยุดยืนนิ่ง
“จะพอกันได้รึยัง.. ฉันไม่อยากจะทนแล้วกับการทะเลาะยืดยาวงี่เง่าของพวกนาย”อิกนิสไม่ได้อยากจะพูดเพราะมันเป็นเหมือนการยอมรับสภาพอยู่ในที แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วการจมอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่ทางแก้ “ตาของฉันยังไม่ดีขึ้นเลย… แล้วมันก็อาจจะไม่มีทางกลับมามองเห็นได้อีกครั้งด้วย”
“..แต่ว่าฉันก็อยากที่จะไปไปต่อทั้งๆแบบนี้ อยู่ร่วมกับพวกนายจนถึงที่สุด”
“โทษที แต่ฉันไม่เห็นด้วย สงครามนี่เกี่ยวข้องกับความเป็นตาย” กลาดิโอโพล่งสวนในทันที
อิกนิสเงียบไป เป็นพรอมโต้ที่พูดขึ้นมาแทน “แต่พวกเราช่วยเหลือกันได้!”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ช่วยรึเปล่า..” คนตัวใหญ่กดเสียงต่ำ
“คนที่จะเลือกน่ะคือตัวอิกนิสเองต่างหาก!”
“เขารับไม่ไหวหรอก!!”
“ฉันรู้ดีน่า!!” เขาหลุดโพล่งออกมาในที่สุด ด้วยความรู้สึกที่ทะลักล้น “ฉันไม่ได้ขอให้ช่วย.. ฉันรู้ตัวเองดี.. ถ้าฉันไม่ไหวขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เมื่อถึงตอนนั้น..”
“…ฉันจะเป็นฝ่ายจากไปเอง…”
ทุกอย่างนิ่งลงไปชั่วครู่ กลาดิโอลัสยอมรับการตัดสินใจของเขาในที่สุด ก่อนจะหันไปหาคนที่ยืนเงียบมาแต่ต้น “ท่านราชาจะว่ายังไงล่ะ?…”
“น็อค..นายคือคนที่จะกลายเป็นราชานะ” อิกนิสหันไปหาเจ้าของชื่อ รู้ดีว่าอีกคนอยู่ในจุดที่เปิดรับฟังเขามากที่สุด “ราชาจะต้องเดินหน้าเสมอ นายจะเป็นผู้นำใครไม่ได้ถ้านายเอาแต่ยืนเฉยอยู่แบบนี้..”
“กลาดิโอ น็อคคู่ควรกับการเป็นราชา เขาแค่ต้องการเวลาเท่านั้น.. ให้เวลาเขาหน่อย”
“เข้าใจแล้วน่า..” เสียงแข็งกร้าวนั้นอ่อนยวบลง “แต่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่นั่นล่ะ.. ระวังตัวเอาไว้ด้วยแล้วกัน” เขาพูดทิ้งเพียงเท่านั้นแล้วก้าวออกไป
กลาดิโอลัสอาจจะมีข้อเสียมากมาย แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เหมือนที่เขารู้ กลาดิโอเองก็รู้ดีว่าไม่มีใครควรคู่กับการเป็นราชาเท่ากับเด็กคนนี้ที่พวกเขาเฝ้าดูแลปกป้องมาโดยตลอดอีกแล้ว และการเตือนของเขาก็พาเอาสติของคนทั้งคู่กลับมาในจุดที่มันควรจะอยู่
…แค่ให้เวลาน็อคทิสหน่อยเท่านั้น…
………………………………………..
“พวกนายไม่มีฉันไม่ได้หรอก” อิกนิสกล่าวติดตลก นอนคว่ำทับอยู่บนร่างใหญ่โตขององครักษ์ส่วนพระองค์
กลาดิโอลัสระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ จากเหตุการณ์ในสุสานกษัตริย์ครั้งล่าสุด แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่การคงอยู่ของอิกนิสนั้นก็สำคัญกับการเดินทางของพวกเขาจริงๆ
ตอนนี้พวกเขาอยู่ระหว่างการเดินทางด้วยรถไฟ มุ่งหน้าตรงสู่เทเนแบรตามความตั้งใจของน็อคทิส
อันที่จริงการนอนรวมกันสี่คนก็สะดวกดี เพียงแต่อย่างที่เขาบอก น็อคทิสต้องการเวลาจัดการกับความคิดอันวุ่นวายในหัวของเขา และคงจะดีกว่าหากปล่อยให้เจ้าตัวได้อยู่กับตัวเองเสียบ้าง พวกเขาจึงได้ตกลงแยกที่นอนกันจนกว่ารถไฟจะถึงที่หมาย ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้วจะมีพรอมโต้คอยกวนอยู่ด้วยก็ตาม
อิกนิสหลับตาลง อิงหน้าผากแนบแผ่นอกตึงแน่นฟังเสียงหายใจเนิบนาบ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อเรื่องที่คาใจจบไปได้เสียเรื่อง พอมาคิดดูดีๆแล้วก็กินเวลานานเอาเรื่องอยู่เหมือนกันที่พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันโดยสงบแบบนี้
…ตั้งแต่ตอนที่น็อคฟื้นขึ้นมาเลยรึเปล่านะ…
เมื่อกระหวัดคิดไปถึงเรื่องวันนั้น ความกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นตอนจูบกันก็แจ่มชัดขึ้นมาอีก คิ้วของเขามุ่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจขยับตัวลงจากคนที่นอนกอดเขานิ่งแต่ติดมือที่รั้งเอวเอาไว้จึงไม่สามารถเขยื้อนกายออกจากจุดเดิมอย่างที่คิดไว้ได้ “ฉันจะลงไปนอนดีๆแล้ว..”
“อยู่ตรงนี้ก็นอนได้นี่” ไม่ได้ว่าเปล่าเคลื่อนมือตามเส้นแนวร่างผ่านเสื้อเชิ้ตตัวเรียบ
คนฟังย่นหัวคิ้วเข้าหากันหนักกว่าเดิม เงยใบหน้าขึ้นเหมือนจะมองหน้าคนขยันหาเรื่องอย่างที่เคยทำแม้ตัวเองในตอนนี้จะมองอะไรไม่เห็นก็ตาม
กลาดิโอลัสรอวินาทีนั้นอยู่ เขาขยับศีรษะแนบริมฝีปากเข้ากับปากที่เผยออ้าเตรียมจะปรามาสเขา หยุดเสียงนั้นให้กลับลงคอไป มือที่ล็อคเอวอีกคนไว้ละเลื่อนขึ้นมายังต้นคอ รั้งใบหน้านั้นเอาไว้ไม่ให้ผละหนี อิกนิสรู้สึกหงุดหงิดและลังเลกับความกะทันหันนั้น แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธ ร่างถูกพลิกวางลงกับเตียง ถึงจะเป็นตู้นอนแต่ขนาดเตียงนั้นก็เป็นแค่เตียงเดี่ยวธรรมดา ร่างที่ถูกดันจึงโดนเบียดเข้ากับกำแพงอย่างช่วยไม่ได้
“อ..อึดอัด” คำประท้วงหลุดออกมาพร้อมลมหายใจที่พรูออก เขามองไม่เห็นและไม่สามารถมองตอบสายตาหลากอารมณ์นั้นได้ เพราะฉะนั้นการพูดสิ่งที่คิดไปตามตรงจึงเป็นการตอบสนองเดียวที่เขาให้ได้ตอนนี้ มือของเขายกขึ้นดันร่างที่เบียดทับลงมาออก แต่มือเพียงข้างเดียวของกลาดิโอก็สามารถกระชากตัวของเขาให้ลงมานอนอยู่บนเตียงใต้การควบคุมของฝ่ายนั้นได้อย่างง่ายดาย
ราชเลขาส่งเสียงไม่พอใจเมื่อโดนขังเอาไว้กับเตียง และแสดงออกด้วยกับขบฟันเข้ากับริมฝีปากเอาแต่ได้นั่นแรงเสียจนเลือดออก กลาดิโอแค่นเสียงในคอแต่เขาไม่ได้หยุด รสเลือดเค็มปร่าจึงผ่านปลายลิ้นและริมฝีปากนั้นเข้ามาด้วย
อาจเพราะไม่ได้สัมผัสกันมานานจูบของคนบนกายถึงได้ดูดุดันและเรียกร้องเอามากกว่าปกติ อิกนิสออกแรงบีบมือที่วุ่นวายกับเสื้อผ้าของเขาเหมือนจะขอให้การเคลื่อนไหวนั้นชะลอลงหน่อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากลาดิโอไม่ได้ตีความท่าทางของเขาด้วยความหมายเดียวกับที่เขาต้องการ เมื่อริมฝีปากนั่นเคลื่อนออกอีกครั้งทั้งเสื้อและกางเกงของเขาก็ถูกจัดการเสียจนหมิ่นเหม่
เสียงครางเกือบหลุดออกจากปาก อิกนิสยกมือขึ้นมากั้นมันไว้ ความสากของเคราที่ลากก่ายไปบนผิวทำให้เขาต้องงอตัวหลบโดยอัตโนมัติ
พอดวงตาใช้การไม่ได้ความคุ้นเคยก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย ลมหายใจของเขาติดขัดจากการเล้าโลมเพียงเล็กน้อยของฝ่ายนั้น เสียงและสัมผัสที่ไม่เคยสังเกตมาก่อนในตอนที่ยังมองเห็นนั้น ทำให้เขาพบว่ามันน่าอายยิ่งมากกว่าที่เคยรู้สึก
กลาดิโอลัสลากปลายนิ้วไปตามแนวสอบเอว สัมผัสผิวเนื้อภายใต้เสื้อเนื้อดีที่ไม่ได้เห็นเสียนานนั่นเอาตามใจ ทุกครั้งที่ริมฝีปากเขาประทับลงบนแผ่นผิวร่างกายนั้นจะสั่นขึ้นน้อยๆจนสังเกตได้ เขาไล้มือข้างหนึ่งลงไป กอบกุมเอาความต้องการที่ดุนดันผ่านซับในสีสะอาด อิกนิสสะดุ้งเฮือกท่อนขาเพรียวยาวนั่นกระตุกขึ้นมาบังส่วนสำคัญโดยอัตโนมัติ
ดวงตาสีน้ำตาลแดงปรายขึ้นสำรวจร่างที่สั่นเทาเล็กน้อยอยู่ใต้ร่างของเขา แม้จะมองไม่เห็นแต่สองมือของอิกนิสก็ยกขึ้นปิดบังใบหน้าเสียจนมิด ราชองครักษ์รู้สึกขัดใจเล็กน้อยจึงได้ฝากรอยเขี้ยวจางๆไว้ที่หลังมือนั่นแทนคำพูด
ได้ยินเสียงสูดริมฝีปากและครางเครือดังลอดฝ่ามือที่ยังไม่ยอมขยับนั้นออกมา กลาดิโอตัดสินใจกระตุ้นความต้องการที่กอบกุมเอาไว้ในมือแทน ลมหายใจขาด อิกนิสงอตัวหลบสัมผัสจากมือของเขาอย่างเปล่าประโยชน์ เขาหมดความอดทนกับการอดกลั้นเกินจำเป็นนั้นในที่สุด มือข้างที่ว่างอยู่รวบเอาข้อมือทั้งคู่ไว้ดึงรั้งขึ้นสูงจับล็อกมันไว้เหนือศีรษะของเจ้าตัว
ราชเลขากำลังหมดท่า ไม่ได้นับร่างกายที่รู้สึกไวจนเกินเหตุของเขา ใบหน้าที่ร้อนจนแม้แต่เจ้าตัวเองก็รู้ว่ามันคงแดงไปหมด อิกนิสไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกอายจนแม้กระทั่งกระบอกตายังร้อนผ่าว และตอนนี้เขาก็กำลังถูกไล่ต้อนให้เปิดเผยสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
คนมองส่งเสียงครางต่ำในคอ เมื่อไม่มีอะไรมากั้นอีก เสียงครางสูงก็ดังลอดออกมาทันทีที่เขาขยี้ท้องนิ้วเข้ากับส่วนปลายของสิ่งในอุ้งมือ ก่อนมันจะถูกหยุดไว้ด้วยการกัดริมฝีปาก
“นี่นายไม่รู้สึกไวเกินไปหน่อยหรือไง” กลาดิโอลัสโน้มใบหน้าลงกระซิบเสียงพร่าพูดจี้ใจดำ ทำเอาเขาได้แต่จิกมือที่จับล็อกมือของเขาเอาไว้เพื่อระบาย มือหยาบใหญ่ละจากแก่นกายในมือไปถอดกางเกงสแล็กที่ดูเกะกะลูกตานั่นทิ้ง เหลือไว้เพียงเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เปิดอ้า และถุงเท้าที่เกือบจะหลุดรุ่ย
กลาดิโอไม่เคยบอกแต่เขาเสพติดร่างกายของอิกนิสมากเกินกว่าที่เจ้าตัวจะรู้เสียอีก
ลำคอนั่นแอ่นเชิดเมื่อเขาละลมหายใจเข้าใกล้ผิว สร้อยคอรูปกะโหลกอันเล็กส่งเสียงเล็กน้อยเมื่อมันกลิ้งผ่านแผ่นอกก่อนตกร่วงไปที่หลังคอ กลาดิโอคว้าเอาข้อเท้าที่มีเพียงถุงเท้าจวนจะหลุดมิหลุดแหล่ ลูบสัมผัสไล่ขึ้นมาจนถึงโคนขาอย่างที่ชอบทำเสมอ นวดกระตุ้นผิวเนื้อด้านในที่กำลังสั่นเกร็ง ข้อมือที่เขาตรึงไว้ออกแรงกระชากขึ้นอีกครั้ง ขาคู่นั้นปัดป่ายอย่างไร้หลักเมื่อดวงตามองไม่เห็น
“ป..ปล่อย ไม่เอ.าแบบ..นี้” เสียงสั่นๆดูพยายามอย่างมากที่จะเค้นออกมาให้เป็นคำ กลาดิโอเงยหน้าขึ้นจากการฝากรอยฟันไว้ที่ผิวนั้นเลื่อนตัวขึ้นมองใบหน้าที่ไม่ได้น่ามองน้อยลงเลยแม้แผลฉกรรจ์นั่นจะพาดผ่าน
…อันตรายชะมัด…
เขาละมือออกแน่นอนว่าอิกนิสก็ยังยืนกรานที่จะใช้มันมาปิดหน้าตัวเองไว้อีก “นายอยู่กับฉัน..” เขาพูดขึ้นลอยๆ ดึงมือคู่นั้นออกอีกย้ายที่ให้มันมายึดอยู่ที่คอของเขาแทน “เลิกพยายามทำอะไรแบบนั้นซักที..”
คนถูกห้ามอ้าปากจะเถียงแต่เสียงครางที่ไม่ได้ตั้งใจก็ลอดออกมาแทนเมื่อความต้องการถูกรูดรั้ง เสียงเปียกลื่นที่ดังขึ้นจากเบื้องล่างนั้นไม่ต้องมองเห็นก็รู้ว่าร่างกายให้ความร่วมมือกับคนข้างบนขนาดไหน
ราชองครักษ์ฝังใบหน้าลงกับลำคอของอีกคน สูดรับกลิ่นไอจางๆที่ชอบ ก่อนจะละมือออกจากสิ่งที่กอบกุม “หรือถ้านายกลัวจะให้หย..-โอ๊ย!”
น้ำเสียงอ่อนๆที่แฝงไปด้วยความลังเลหยุดลงกะทันหัน เมื่อมือที่รั้งอยู่กับหลังคอทุบลงมาเสียเต็มแรงเล่นเอาเกือบเห็นดาว ได้ยินราชเลขาสบถว่างี่เง่าในคอ แต่มันก็เบาจนไม่แน่ใจนัก ศีรษะของเขาถูกรั้งลงพร้อมๆกับริมฝีปากคนด้านล่างที่แนบขึ้นมา
อิกนิสกำลังหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะคำพูดของกลาดิโอ แต่เป็นสิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจอีกฝ่ายต่างหากที่เขาคิดว่ามันงี่เง่าเสียเต็มประดา ราชเลขาล็อคใบหน้าหล่อคมเอาไว้ จูบนั้นหนักแน่นเมื่อเทียบกับดวงตาที่มองไม่เห็น กลาดิโอลัสแนบริมฝีปากตอบปล่อยให้อีกคนงัดเอาร่างของตัวเองมาคร่อมเขาไว้แทน
“ไม่รู้มาก่อนว่าโล่ของราชาจะใจเสาะขนาดนี้”
“หา?!” คนโดนด่าตั้งตัวไม่ถูก ดวงตาที่เขารู้ดีว่ามันไม่ได้สะท้อนอะไรอีกต่อไปแล้วจ้องตรงมาที่ดวงตาของเขา และตรึงเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
“การตายของท่านหญิงลูน่าเฟรน่าไม่ใช่ความผิดของนาย”
“อิกนิส..”
“การที่น็อคบาดเจ็บก็ไม่ใช่ความผิดของนาย”
“…”
“การที่ฉันเป็นแบบนี้…”
“……”
“…เป็นผลจากการตัดสินใจของฉัน.. ไม่ใช่ความผิดของนาย”
กินเวลาอยู่นานทีเดียวกว่ากลาดิโอลัสจะควานหาเสียงของตัวเองพบ เขามองดวงตาสีขุ่นตรงหน้านิ่งปล่อยให้มันตรึงสายตาและความคิดของเขาไว้แบบนั้น
“..ดูออกง่ายขนาดนี้เชียว” เจ้าตัวยอมรับออกมาเองในที่สุด มือใหญ่ยกขึ้นนวดหัวตาด้วยอุ้งมือ เป็นเขาต่างหากที่หมดท่าเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ โดนมองออกเสียทะลุปรุโปร่ง
“คิดว่าคบกันมานานแค่ไหนแล้วล่ะ…” อิกนิสกระถดตัวขึ้นนั่งบนหน้าท้องแข็งแรง แต่ศีรษะก็ชนเอากับพื้นเตียงด้านบนจนต้องโน้มตัวกลับลงมาอีก พลางถอนหายใจเล็กน้อย
เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าไม่ใช่แค่น็อค สภาพจิตใจของกลาดิโอเองก็ย่ำแย่ไม่ต่างกันจากเหตุการณ์นั้น แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบทำให้เจ้าตัวแสดงมันออกมาในรูปแบบของการพาลพาโล เพราะแบบนั้นเขาจึงได้ไม่ห้ามบรรยากาศมาคุนั่นแต่แรก และยอมปล่อยให้มันดำเนินไปจนความอดทนสิ้นสุด
กลาดิโอลัสพาลและสูญเสียความมั่นใจ ทั้งในฐานะเพื่อนและราชองครักษ์ส่วนพระองค์ หน้าที่ของคนที่เป็นโล่นั้นคือการปกป้อง นี่จึงอาจเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่กลาดิโอได้สัมผัสกับเหตุการณ์ที่เกือบจะรั้งอะไรเอาไว้ไม่ได้เลย ภารกิจของพวกเขาคือการรับแหวนก็จริง แต่ร่างและลมหายใจรวยรินของน็อคทิสนั้นเหนือความคาดหมาย การได้สัมผัสเหตุการณ์นั้นด้วยสองมือตัวเองนั้นจึงทำให้ราชองครักษ์รู้สึกถดถอย
ความสำนึกในหน้าที่และความหงุดหงิดเสียเต็มประดาที่หน้าที่หลักของเขานั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ในหลายๆความหมายโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลยนั้นยิ่งทำให้คนใจร้อนยิ่งหงุดหงิดขึ้นอีก
แต่จากมุมมองของเขากลาดิโอก็ได้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถในแบบของเจ้าตัวแล้ว เพราะแบบนั้นเขาจึงอยากให้อีกคนเลิกโทษตัวเองและความพยายามปกป้องจนเกิดเหตุนั่นเสียที
นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่เขาเลือกจะแยกตู้นอนกับพวกน็อคทิสในคืนนี้
ร่างท่อนบนทาบลงบนแผ่นอกของราชองครักษ์ มือคืบไต่สัมผัสหน้าท้องแข็งแรงไล่เรื่อยลงไป “ฉันไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องมาทำเป็นทะนุถนอมไร้สาระ” แนวฟันงับเข้าที่ปลายคางอีกฝ่าย กัดเข้าที่สันกรามคมคร้ามอย่างมันเขี้ยว เขามองไม่เห็นแต่กับร่างกายที่ได้สัมผัสมานับครั้งไม่ถ้วนนี่แล้ว สายตาก็ไม่ได้จำเป็นกับเขาเสียเท่าไหร่
มือที่ไล่วนอยู่เหนือท้องน้อยจัดการกับกางเกงของอีกฝ่ายอย่างชำนาญแนบฝ่ามือเข้ากับความระอุร้อนเบื้องล่าง “ขนาดนี้แล้วถ้าฉันบอกว่า ‘ไม่’ ก็จะเลิกหรือไง..”
อิกนิสรู้สึกได้ผ่านทางร่างกายว่าคนที่คิดว่าเป็นฝ่ายคุมเกมนั้นก็รู้สึกไม่ต่างกับเขานักหรอก
“คิดว่าแค่เดินไปเอาออกที่ห้องน้ำก็จบเหรอ”
คนพูดแค่นหัวเราะในคอร่างท่อนล่างร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆเคลื่อนใบหน้าลงไปตามผิวกายนั่นอย่างคุ้นชิน “…ถ้านายไม่อยาก ฉันทำเองก็ได้”
คนฟังเลิกคิ้วกับท่าทางมั่นอกมั่นใจนั่น เขาแตะหลังมือเข้ากับใบหน้าและเรือนผมชื้นเหงื่อที่เคลื่อนต่ำลงอย่างเบามือ แต่ก็โดนมือเรียวนั่นปัดออกด้วยท่าทางไม่พอใจ
…ท่าทางจะโกรธเอาเรื่องเลยแฮะ…
“อิกนิส..” ลองส่งเสียงเรียกแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของอีกคนสะดุดลงไปเท่าไหร่ เขาจึงจบที่ยันกายท่อนบนขึ้นมองดูดวงตาที่ถูกบังเอาไว้ด้วยแว่นสีเข้ม ปล่อยให้อีกคนปลดเข็มขัดและจัดการซับในของเขาลง
…แบบนี้ท่าจะแย่…
ราชองครักษ์คิดขึ้นมาในใจเมื่อริมฝีปากนั่นครอบครองแกนกายเขาเข้าโดยตรง อิกนิสดูจะทำอย่างที่ตัวเองได้เอ่ยปากเอาไว้จริงๆ เขาเลื่อนมือไปลูบสัมผัสใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเรื่อ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเอาแว่นทรงเฉี่ยวนั้นออก จ้องมองภาพเย้ายวนนั่นด้วยสายตาโหยกระหาย แผลฉกรรจ์ที่ได้เห็นเต็มๆนั้นทำให้รูสึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้ นึกใจหายขึ้นมาที่จะไม่ได้เห็นภาพตัวเองในดวงตานั้นอีก
ความต้องการที่โดนรัดไว้ด้วยโพรงปากทำเอาเขาต้องครางเสียงต่ำในคอ นึกอยากจะข้ามไปทำรุนแรงเสียเลยตอนนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละเขาคงมีอารมณ์ทะนุถนอมบ้าๆกับอีกคนที่ตาบอดอยู่จริงๆ
เหมือนจะรู้และต้องการจะแกล้งอยู่ในที อิกนิสเคลื่อนไหวช้าลงและเย้าแหย่แกนกายใหญ่โตนั้นหนักข้อ ดีเหมือนกันที่จากมุมนี้กลาดิโอคงไม่อาจมองเห็นได้ว่าสิ่งที่ชายเสื้อเชิ้ตสีเข้มปิดบังไว้นั้นกำลังมีปฏิกิริยาขนาดไหน
กลาดิโอลัสได้แต่มองภาพสุดยั่วยวนนั่นพลางระบายลมหายใจ หากในตอนที่อารมณ์กำลังจะถึงจุดอีกคนก็กลับหยุดง่ายๆเสียแบบนั้น
“ถุงยางล่ะ?”
“หา?”
“ฉันรู้ว่านายมี” อิกนิสพูดขึ้นเรียบๆ ลมหายใจสะดุดสั่นรินลดความต้องการที่กอบไว้ในอุ้งมือ
คนฟังได้แต่สบถในคออย่างหัวเสีย …จะมารอบคอบอะไรในเวลาแบบนี้กัน… แต่เมื่อดูจากความจริงจังนั่นแล้วถ้าไม่แกะส่งให้คงไม่ได้ไปไหนกันแน่ เขาที่เพิ่งโดนขัดตาทัพตบะแทบจะแตกอีกรอบเมื่ออีกคนสวมถุงยางนั่นให้กับเขาด้วยการใช้ฟันดึงลากมันลงมาจนสุดโคน
.
.
“พอแล้วดีกว่า… คนปลุกอารมณ์พูดขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ยันตัวขึ้นนั่งคุกเข่าเล่นเอาคนฟังจับใจความไม่ถูก
“…ฮะ?!”
“ก็พูดว่าจะให้หยุดก็บอกไม่ใช่เหรอ.. ฉันก็จะหยุดตรงนี้ไง”
คนรับคำตอบคิ้วกระตุกมองดูคนที่อยู่ในสภาพหลุดรุ่ยยิ่งกว่าใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก …นี่มันจงใจแกล้งกันชัดๆ…
ราชองครักษ์แค่นเสียงหัวเราะในคอ แต่เดิมเขาก็ไม่ใช่คนที่อดทนอะไรได้ดีนักอยู่แล้วยิ่งถูกทำแบบนี้ในสมองก็ประมวลผลได้แค่ทางเอาคืนเท่านั้น โดยไม่ส่งเสียงบอกกล่าวมือของเขาคว้าเอวคนที่นั่งนิ่งกระชากให้ร่างนั้นถลากลับขึ้นมาอยู่บนตัว มืออีกข้างรินของเหลวเย็นลื่นลงบนร่องสะโพกด้านหลัง
อิกนิสสะท้านขึ้นทั้งตัวด้วยความตกใจ ความต้องการที่ปิดเอาไว้ด้วยชายเสื้อเปิดเผยออกมาในที่สุด สะโพกสั่นระริกเมื่อสิ่งที่อีกคนราดลงมาไหลผ่านหลืบสะโพกอุ่นร้อนเบื้องหลัง “อ..อะไรน่ะ?”
ลมหายใจขาดเอาเรื่องถึงได้รู้ว่าอีกคนตกใจขนาดไหน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ “ยาปลุก..” โกหกหน้าด้านๆเพราะอยากเอาคืน ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่ออยล์ธรรมดาที่เขาแอบขโมยมาจากอิริสก็เท่านั้น
ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มอีก มือของเขาสอดเข้าระหว่างร่องหลืบเบื้องหลังช่วยชโลมของเหลวนั่นจนชุ่มไปถึงในร่าง แขนคู่นั้นผวากอดลำคอของเขา แนบแน่นเสียจนเนื้อผ้าเสียดสีกับใบหน้า “ไม่ใช่ว่าพอแล้วหรอกหรือไง” เขาเอ่ยเย้า
“นา.ยนั่นแ.หล..ะ”
ใบหูของเขาถูกกัด ท่าทางคนพูดคงจะแค้นเอาการ แต่เมื่อเขาขยี้นิ้วเข้ากับจุดอ่อนในช่องทาง สะโพกนั้นก็บิดกระตุกเหมือนจะขยับหนีจนร่างนั้นขึ้นมาขดอยู่บนหน้าตักเขาทั้งตัว
อิกนิสไม่รู้ว่าสิ่งที่กลาดิโอพูดจริงหรือเท็จแค่ไหน แต่ส่วนที่อีกคนสัมผัสอยู่ก็ร้อนขึ้นเสียจนเขากังวลว่ามันจะละลาย อยากจะท้วงถามหากริมฝีปากก็โดนครอบครองไว้อีกครั้ง นึกโมโหจนอยากกัดลิ้นช่ำชองนั่นให้ขาดในทีเดียว
กลาดิโอแทบไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ฮุบเอาอากาศหายใจ เสียงหอบเหนื่อยปะปนไปกับเสียงของเหลวในกาย ชัดเจนเสียจนใบหน้าร้อนผ่าว “กล.าดิโ.อ..ร..เร็ว” เขาเค้นเสียงพูดหลังจากผละจากริมฝีปากนั่นออกมาได้ในที่สุด
“ข้างหลังยังไม่ได้เลย..เดี๋ยวก็เจ็บหรอก” คนถูกถามตอบระหว่างไล้ริมฝีปากเข้ากับลำคอที่เชิดแอ่น สนุกกับการแกล้งอีกคนผ่านการขยับมือที่ด้านหลัง
อิกนิสไม่พอใจขึ้นมาอีก เขากัดริมฝีปากล่างแล้วปัดแขนข้างหนึ่งไปด้านหลังปัดป่ายมืออีกคนออกอย่างไร้หลักในขณะที่พยายามดึงสะโพกออก ความต้องการที่ไม่ได้รับการสัมผัสเสียทีนั้นลุกชันเสียดสีกับผิวท้องตึงแน่น
เขาบังคับเอามือของกลาดิโอลัสออกจากช่องทางจนได้ในที่สุด มือที่วางยึดกับแผ่นหลังนั่นเลื่อนขึ้นล็อกเอาศีรษะให้เคลื่อนเข้าหา คนตาบอดที่สูญเสียการควบคุมเริ่มกะระยะไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด จูบที่ดึงดันจึงกระแทกเข้ากับริมฝีปากของราชองครักษ์จนได้เลือดซ้ำอีกครั้ง
อิกนิสไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่ได้คิดจะหยุด เขาเบียดสะโพกแนบเข้าและหย่อนตัวลงบนแก่นกายเบื้องล่าง
ดวงตาสีน้ำตาลแดงเบิกขึ้นอย่างแปลกใจ รสเลือดเค็มปร่าซึมผ่านโพรงปาก เขาคว้าเอาทั้งมือที่อยู่ไม่เป็นหลักและสะโพกของอีกคนไว้ในคราวเดียวก่อนจะกระแทกกายสวนเข้าไปจนสุด
ช่องทางนั้นตอดรัดแน่นพร้อมๆกับผิวกายที่สะดุ้งสั่น คนในอุ้งมือไม่ได้ส่งเสียงไม่รู้ว่ากลั้นมันไว้ได้หรือตกใจจนไม่มีเสียงกันแน่ เอวสอบขยับขึ้นลงน้อยๆเพราะติดมือที่จับเอาไว้ แต่การท่าทางนั่นก็เหมือนจะกำลังออกคำสั่งให้เขารีบๆจัดการเข้าเสียที
“อย่าแกล้.ง ขยับ…” ราชเลขาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งสั่งกึ่งขอร้อง
“จริงๆวันนี้นายบอกว่า ‘จะทำเอง’ นี่นะ” กลาดิโอลัสทวนคำที่อีกคนเคยเอ่ยละมือออกจากสะโพกนั้นพลางเอนหลังลงกับเตียง
อิกนิสครางเสียงต่ำในคอเมื่อร่างใหญ่หนานั้นล้มตัวลงนอนเสียเฉยๆ ปล่อยให้เขาต้องสานต่อด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อขยับถอนกายศีรษะก็ปะทะเข้ากับพื้นเตียงด้านบนอีกครั้ง ทำให้เขาต้องย้ายมือที่ใช้ปกปิดตัวเองขึ้นไปดันค้ำกะระยะห่างแทน สะโพกนั้นเริ่มขยับขึ้นลงช้าๆ
ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำ แต่ครั้งนี้อิกนิสรู้สึกว่ามันน่าอายเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ดวงตาของเขามองไม่เห็นดังนั้นความรู้สึกด้านอื่นๆจึงเด่นชัดขึ้นมา ทั้งรูปร่างของสิ่งที่อยู่ในช่องทาง ทั้งเสียงการขยับไหว ทั้งเสียงของลมหายใจที่ไหลปนกัน ..กระทั่งสายตาที่ลามเลียไปบนร่างกายของเขานั่นก็ด้วย
“……” ราชเลขากลั้นเสียงด้วยการขบเม้มริมฝีปากตัวเอง นึกไม่ออกขึ้นมาว่าทุกครั้งที่กอดก่ายกันปกติเขาทำตัวแบบไหน มีแค่ความทรงจำทางร่างกาย กับดวงตาสีน้ำตาลแดงที่จับจ้องด้วยสายตาเหมือนวอนขออะไรบางอย่างจากเขาเท่านั้นที่แจ่มชัดเสียเหลือเกิน
…จะไม่ได้เห็นอีกแล้ว…
ความคิดนั้นแวบขึ้นมาก่อนที่เขาจะตัดสินใจโน้มกายลง สองแขนก่ายกอดร่างที่นอนทอดตัวอยู่ ใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ อิกนิสไม่รู้ตัวทว่ากลาดิโอลัสเห็นมันทั้งหมด รวมถึงได้ยินเสียงหอบพร่าที่ครวญเรียกชื่อเขาเพียงจางๆในคอด้วย
ร่างด้านใต้สบถลอดไรฟันช่วยไม่ได้ที่ความต้องการจะตื่นพองขึ้นอีกหลังจากอีกคนเปิดเผยขนาดนี้ต่อหน้าเขา
“กล..าดิโ.อ ทำไมมั..น?…” เสียงถามติดใบหูนั้นแทบจะกลายเป็นเสียงครวญสูงแทนเมื่อเขาใช้มือกอบกุมสะโพกนั่นไว้แล้วควบคุมการเคลื่อนไหวแทน
“เพราะนายนั่นแหละ..” ตอบสั้นๆไม่ได้ช่วยอธิบายอะไรได้แต่อย่างใด กลาดิโอบังคับสะโพกของอีกคนอยู่ไม่กี่ครั้งก่อนจะตัดสินใจพลิกร่างนั้นลงกับเตียงอีกรอบ โดยที่ไม่ได้ถอนกายออก
อิกนิสเกร็งตัวแน่นอย่างตกใจกับความกะทันหันแต่จูบเอาแต่ใจนั่นก็ไม่ยอมให้เขาท้วงถาม ความต้องการที่สั่นเทาถูกมือข้างหนึ่งกอบกุม มือของเขาครูดจิกไปตามแนวสะบักไหล่เมื่ออีกคนฝังเขี้ยวเข้าที่หลังกกหู แรงกระทั้นที่ไล่ต้อนดันเขามาจนถึงปลายทางในที่สุด ดีที่ริมฝีปากของอีกคนแนบเข้ามาพอดีเสียงสุดท้ายที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่จึงเหลือเพียงเสียงอื้ออึงในลำคอ
รู้สึกได้ว่าหยดของเหลวอุ่นๆแตะต้องผิวท้อง ส่วนที่เหลือคงเปรอะมืออีกคนเต็มไปหมด มันยากที่จะรู้เมื่อคนบนตัวยังไม่หยุดขยับกาย แต่ก็เป็นเพียงครู่เล็กๆเท่านั้น กลาดิโอลัสกระแทกกายหนักๆอีกไม่กี่ครั้งก่อนช่องทางเบื้องหลังของเขาจะร้อนวาบขึ้นมา
เสี้ยววินาทีนั้นทุกอย่างพลันนิ่งงัน มีเพียงเสียงจูบเบาๆที่เกิดขึ้นเมื่อราชองครักษ์ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง และเสียงหอบหายใจที่แยกกันไม่ออก
เสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้ๆศีรษะ กลาดิโอคงกำลังทำความสะอาดมืออย่างลวกๆเหมือนเคยตามด้วยร่างกายของเขา
“….”
อิกนิสไม่ได้พูดอะไรเขาปล่อยให้อีกคนเช็ดหน้าท้องของตัวเองอย่างว่าง่าย แต่เมื่ออีกคนจะถอนกายออก เขาก็ใช้ขาที่ยังคงค้างอยู่ที่เอวขึ้นกระหวัดรั้งมันไว้แทน
“อิกนิส?” กลาดิโอเรียกขึ้นอย่างงงๆ แต่คำตอบนั้นก็กลับคืนมาในเวลาอันสั้นเมื่ออีกคนเบียดสะโพกเข้าหาเขาอีกครั้งพร้อมๆกับแขนที่ยกขึ้นโอบรอบคอ
“ใช้ยาปลุกไม่ใช่หรือไง…รับผิดชอบจนกว่าฉันจะพอซะด้วยสิ”
ไม่มีบทสนทนาถัดจากนั้น มีเพียงเสียงออกอุทานเบาๆจากคนด้านล่าง และเสียงผิวเนื้อที่ขยับแนบชิดกัน
…ยอมแพ้เลยจริงๆ…
………………………………………..
ต้องเป็นคนแบบไหนถึงได้เขียนแต่งานแบบนี้ ใครเห็นอย่าเอ็ดไปนะคะ จุ๊ๆ O[—-[