[FFXV] VDay

Final FantasyXV Fan Fiction

Title : VDay
Pairing : Gladnis + PromTis
Rate : none

กลาดิโอลัสหาวหวอดนอนเอนตัวยืดบนโซฟาตัวยาว เขานอนมองเพดานห้องน็อคทิสท่ามกลางความเงียบมาได้พักใหญ่ๆ เคาะนิ้วเล่นบนปกหนังสือบนอกที่อ่านจบไปไม่รู้กี่รอบอย่างเบื่อหน่าย

แม้แต่เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ยังฟังดูเหงาจนน่าเศร้า เขาส่งเสียงครางต่ำในลำคอ นึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้งว่าทำไมต้องพาตัวเองมานอนแกร่วอยู่ตรงนี้ด้วย

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ เป็นวันสำหรับคู่รักเขาเข้าใจไม่ผิด แต่ดูเหมือนอิกนิสจะไม่ได้จดจำหรือให้ความสำคัญกับมันเลยซักนิด เมื่อราชเลขาส่งข้อความตอบกลับคำชวนกินข้าวของเขามาในมือถือเพียงสั้นๆว่า [ฉันต้องไปรับน็อคที่โรงเรียน เจอที่ห้องน็อคแล้วกัน]

อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากให้มันจุกจิกหรือพิเศษอะไรนักหนาเพราะพวกเขาเองก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ และวันเกิดอีกฝ่ายเมื่อสัปดาห์ก่อนพวกเขาก็ฉลองกันเล็กๆสองคนไปแล้ว

…ก็แค่ไม่คิดว่าจะต้องมาใช้วันแห่งความรักมานอนเน่าอยู่แบบนี้ล่ะนะ…

คิดแบบนั้นอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่เสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้น กลาดิโอยืดตัวขึ้นมองต้นเสียงที่ติดตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกจนน่ารำคาญ

“ฮ้าาา ถึงซักที!!” พรอมโต้ทิ้งของหอบใหญ่ลงบนเคาน์เตอร์บาร์ เจ้าตัวหมุนแขนไปมาเหมือนกับจะบอกว่ามันหนักหนาเสียเต็มประดา น็อคทิสเดินคล้อยหลังตามมาพร้อมถุงใส่ของขนาดเกือบบังมิดตัว ยังไม่นับถุงที่อิกนิสวางทิ้งลงบนพื้นหลังจากประตูห้องปิดลงอีก

“เฮ่ย อะไรกันน่ะนั่น?…” คนที่นอนอยู่บนโซฟายันตัวขึ้นนั่งดีๆ มองกองของสีสันสดใสที่กระจายตัวทั้งบนพื้นและบนโต๊ะ

“ช็อกโกแลต” น็อคทิสตอบด้วยเสียงเฉื่อยๆ

“…ของน็อค”อิกนิสต่อความระบายลมหายใจเหนื่อยหน่าย

…อ่อ นี่น่ะเหรอเหตุผลที่ต้องไปรับถึงโรงเรียนน่ะ…

“แต่ถุงนี้ของฉันน้าา” พรอมโต้แก้ กอดห่อของที่ตัวเองแบกมาเอาไว้อย่างหวงแหนแม้จะไม่มีใครให้ความสนใจมันเลยก็ตาม

ราชองครักษ์ยืนขึ้นในที่สุด เดินมองสำรวจของที่เจ้าชายได้มาแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว “นี่ใครให้ก็รับมาหมดเลยเรอะ?”

“ก็พรอมโต้บอกว่าไม่รับจะเสียมารยาทนี่นะ..” คนถูกถามบุ้ยใบ้ตอบแบบไม่สนใจเท่าไหร่ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนที่ดูจะวุ่นวายตื่นเต้นกับของที่ได้รับมาเสียเหลือเกิน

ได้แต่ปล่อยทิ้งให้ทั้งคู่คุยกันเจี๊ยวจ๊าวก่อนจะเดินไปช่วยอิกนิสเอาช็อกโกแลตที่เหลือเข้ามาวางรวมกันไว้บนโต๊ะ “พอเห็นแบบนี้แล้วก็นึกถึงสมัยเป็นนักเรียนเหมือนกันแฮะ..” กลาดิโอเปรยขึ้นลอยๆ

“สมัยนั้นนายเองก็ได้เยอะใช่เล่นนี่นะ” อิกนิสตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คิดจะแยกของจากถุงนั่นออกมาแล้วก็ได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจ

“อ๊ะ! ไอ้นี่ดูน่าอร่อยเชียว ทำเองสินะเนี่ย” พรอมโต้เสียงดังขึ้นอย่างตื่นเต้นจนพวกเขาต้องหันกลับไปมอง ดวงตาสีฟ้านั่นระยิบระยับในตอนที่ค่อยๆเปิดกล่องขนมในมือออก

น็อคทิสเท้าศอกเอนหลังพิงเคาน์เตอร์อยู่ด้านข้างเลิกคิ้วมองท่าทางนั้นแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “วันนี้นายดูคึกคักเป็นพิเศษเลยนะ” ว่าแบบนั้นก่อนจะควานของที่ตัวเองได้มาแบบสุ่มๆขึ้นมาแกะดูบ้าง

“ของทำมือเชียวนะ! แบบว่ายังไงดีล่ะ..ความตั้งใจมันดูส่งผ่านออกมาเลยไม่ใช่เหรอ” พรอมโต้ดูจะตื้นตันจนเรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยถูกก่อนจะหยิบช็อกโกแลตเข้าปาก “อร่อยจริงด้วย..ของทำมือนี่มันดีสุดๆไปเลยน็อค” เจ้าว่าพลางกำมือแน่นเหมือนได้บรรลุในอะไรบางอย่าง

เจ้าชายยิ้มขำมองคนดีใจ เขาเบือนใบหน้าไปกะจะพูดแซวแต่อะไรบางอย่างก็แตะเข้ากับริมฝีปากเสียก่อน

“กินนี่ดูสิน็อค อร่อยไม่แพ้ที่อิกนิสทำให้เลยนะ!” เจ้าตัวดียิ้มแฉ่งยัดเยียดของที่ตัวเองภูมิใจนำเสนอเข้าให้ถึงปากอีกคน

คนถูกพาดพิงคิ้วกระตุก แต่เจ้าของริมฝีปากกลับอมยิ้มขึ้นน้อยๆแล้วยอมกินช็อกโกแลตที่อีกคนป้อนให้กลายๆแต่โดยดี

“หวานกว่าที่ฉันได้มาอีกแฮะ” น็อคทิสว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบช็อกโกแลตที่ตัวเองได้มาส่งคืนให้ที่ปากอีกคนที่พุ่งเข้ามางับอย่างรวดเร็ว

“อะไรน่ะ! รสชาติแบบผู้ใหญ่!”

เสียงครึกครื้นดำเนินไปอีกระลอกใหญ่ อิกนิสได้แต่ถอนหายใจ ธุระของเขาก็มีแค่ไปรับน็อคทิสพร้อมกับของแล้วก็มาส่งที่นี่นั่นแหละ มือเพรียวยาวปลดกระดุมที่ข้อมือแล้วพับชายแขนเสื้อขึ้นอย่างเคย

“จะทำอาหารเหรอ?” กลาดิโอถามขึ้นเมื่อเห็นการกระทำนั้น

“อา…ปล่อยไว้แบบนี้มีหวังได้กินช็อกโกแลตแทนข้าวกันทั้งคู่แน่”

ยังจุกจิกในเรื่องเล็กน้อยของน็อคทิสไม่เคยเปลี่ยนแปลง เข้าใจในที่สุดว่าที่โดนลากมาที่นี่ด้วยเพราะว่าคนข้างๆตั้งใจจะทำอาหารให้กินพร้อมกันมันเสียทีเดียว

…นอกจากจะไม่สนใจว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์แล้ว คำชวนเดทของเขาก็ยังเป็นหม้ายไปง่ายๆซะอีก…

กลาดิโอลัสได้แต่คอตกแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ตั้งแต่แรกรู้จักจนวันนี้การดูแลน็อคทิสก็ถูกจัดลำดับไว้เป็นอย่างแรกสุดมาโดยตลอดอยู่แล้ว พาลนึกโทษเจ้ากองช็อกโกแลตจำนวนมหาศาลนี่ขึ้นมาแทน

…แต่ไม่ใช่ของตัวเองจะทำอะไรไปก็ใช่ที่อีก…

สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อๆแล้วเดินกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่โซฟารออีกคนที่เดินมุ่งหน้าเข้าครัวไป

……………………………………………………

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูขัดกันอย่างบอกไม่ถูกเมื่อพรอมโต้กับน็อกทิสคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เสียงหัวเราะร่วนดังไม่ขาดสายระหว่างการสนทนาจิปาถะที่จับใจความไม่ได้

ในขณะที่กลาดิโอลัสจัดการอาหารตรงหน้าแบบไม่มีเสียง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากคุย แต่คนข้างๆดูจะถามคำตอบคำขึ้นมาซะเฉยๆในวันนี้ เขาจึงต้องยอมแพ้แล้วหันมานั่งกินเงียบๆ

…บรรยากาศไม่ดีเลยแฮะ…

ดวงตาสีอมแดงเหลือบมองคนที่อยู่ห่างไปแค่ไม่ถึงช่วงศอกด้วยสายตาพิจารณา จะบอกว่าอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเหนื่อยกับการดูแลน็อคทิสวันนี้เขาก็ไม่คิดว่าจะใช่อีก เพราะที่ผ่านมาอิกนิสก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยซักครั้ง

อาหารในจานตรงหน้าว่างลงแม้จะยังประมวลผลไม่ทันเสร็จก็ตาม เมื่อจานอาหารทะยอยว่างราชเลขาก็จัดการเก็บกวาดโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหันมาถามเขาที่ยังคงนั่งเหม่อ “เอากาแฟหน่อยไหม?”

“หา? อื้อ ขอบใจ”

“เอาด้วย!!” พรอมโต้ยกมือแทรกโดยไม่ร้องขอ

“เป็นเด็กเป็นเล็กกินเสร็จก็ไปอาบน้ำนอนได้แล้วพรุ่งนี้พวกนายต้องไปเรียนไม่ใช่รึไง?” กลาดิโอมุ่นขวาคิ้วเอามือดันหน้าผากคนพูดให้นั่งกลับลงไปที่เดิม อิกนิสมองท่าทางเหล่านั้นโดยไม่ตอบรับอะไรนอกจากพยักหน้าน้อยๆแล้วยกจานเข้าไปเก็บในครัว

มือหยาบใหญ่ยกขึ้นเท้าคางแบบเซ็งๆมองดูเด็กม.ปลายสองคนร่าเริงสุดขีดย้ายกันไปเริ่มเล่นเกมตรงทีวีเครื่องใหญ่ เสียงก๊อกแก๊กดังอยู่ข้างหลังเขาก่อนกลิ่นกาแฟอันคุ้นเคยจะลอยมาเตะจมูก

ถ้วยกาแฟบนแก้ววางจานสีขาวถูกวางลงตรงหน้า ราชองครักษ์เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆมองวัตถุสี่เหี่ยมเล็กสีน้ำตาลเข้มที่ถูกจัดวางมาข้างแก้วกาแฟสลับกับคนที่นั่งลงใกล้ๆ

…ช็อกโกแลต…

“นี่..”

“ฉันได้มาตอนไปประชุมที่วังมาเมื่อเช้าน่ะ” อิกนิสชิงอธิบายโดยไม่รอ มือเพรียวยาวยกแก้วขึ้นทาบริมฝีปากกลืนเอาของเหลวรสขื่นลงคอ

กลาดิโอครางเสียงต่ำในคอก่อนจะผ่อนลมหายใจ เอาเถอะเใช่ว่าเขาคาดหวังอะไรกับวันนี้เป็นพิเเศษเสียหน่อย

…ก็แค่อยากให้อ่อนโยนกว่านี้อีกนิดเท่านั้นเอง…

คิดแบบนั้นก่อนจะหยิบช็อกโกแลตรสติดหวานขึ้นกัด

อิกนิสละเลียดรสกาแฟทอดสายตามองเด็กหนุ่มทั้งสองที่ติดพันกับจอทีวีไม่เลิก “เก็บกวาดเสร็จฉันจะกลับเลยนะน็อค”

“โอ้ โทษทีนะฝากด้วย” ระบบตอบรับอัตโนมัติโดยไม่หันมามองจากองค์ชาย อิกนิสถือว่าน็อคทิสรับรู้แล้วถึงได้เก็บเอาแก้วทั้งของตัวเองและกลาดิโอขึ้นและหายไปที่ซิงค์ล้างจานอีก

ราชองครักษ์มองตามอีกคนที่ไม่เหลียวกลับมาซักนิดแล้วถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะลุกไปร่วมวงเล่นเกมด้วยแทน
.
.
.
“ไม่ได้เรื่องเลยน็อค ส่งมานี่!”

“รู้แล้วน่า! แป๊บนึงเซ่!” เถียงกันไปมาใครจะคิดว่าเจ้าชายจะโดนยึดอำนาจไปในที่สุด น็อคทิสเอนตัวกลับมานั่งพิงโซฟาปล่อยจอยเกมให้ตกไปอยู่ในมือคนช่างโม้ เขายกขาขึ้นไขว่ห้างหยิบกระโป๋งน้ำอัดลมมาเปิดดื่ม

“นายไม่เล่นหรือไง?” แน่นอนว่าไม่ได้ถามพรอมโต้ คนตัวโดตกว่าได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยๆเป็นรอบที่ร้อยของวันก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ

“สุดท้ายช็อกโกแลตที่ได้ชิ้นเดียววันนี้ก็เป็นของที่อิกนิสได้มาอีกทีเหรอเนี่ย…” แค่พูดก็อยากทรุดลงไปกุมหน้าดูเศร้าขึ้นมาอีกเมื่อต้องยอมรับออกมาเอง

“เห..หมอนั่นก็ได้ช็อกโกแลตด้วยสินะ” น็อคทิสส่งเสียงหืมในคอ พยายามจินตนาการว่าอิกนิสทำหน้ายังไงตอนรับของจากมือสาวๆ

“อา…เห็นว่าได้มาตอนไปประชุมเมื่อเช้าน่ะ”

“งั้นเหรอ…” คนตัวเล็กกว่านิ่งไปเหมือนยังไม่จบความคิดก่อนหัวคิ้วนั้นจะยกขึ้นน้อยๆ “..แต่วันนี้ไม่มีประชุมที่วังนี่?”

“หา?”

“..ใช่ ประชุมน่ะมันเมื่อวานต่างหาก เพราะงั้นวันนี้หมอนั่นถึงได้ไปรับฉันได้ไงล่ะ”

กลาดิโอยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่มเติม เสียงน้ำก๊อกก็หยุดลงตามด้วยราชเลขาที่เดินเช็ดมือออกมา

“ฉันจะกลับแล้ว..” อิกนิสพูดเรียบๆมองตอบน็อคทิสที่แค่เงยหน้าขึ้นมาพยักหน้ารับ และพรอมโต้ที่กดปุ่มสต็อปเกมไว้เพื่อหันกลับมาขอบคุณอย่างร่าเริง ดูท่าทางพร้อมอยู่โต้รุ่งกันที่นี่เต็มที่ ดวงตาสีเขียวเลื่อนไปยังร่างใหญ่ยักษ์ของอีกคนที่เหลือ “กลับด้วยกันมั้ย?”

มีหรือจะปฏิเสธ คนสบโอกาสพยักหน้าแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉวยเอาหนังสือที่หิ้วมาแล้วยกมือลาเจ้าของห้อง

……………………………………………………

เสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตหรูดังกระหึ่มอยู่ในหูเมื่อไม่มีเสียงแวดล้อม ราชองครักษ์พิงศีรษะกับบานกระจกรถมองดูคนที่ตั้งสมาธิกับพวงมาลัยในมือ เขาควานหาถ้อยคำมากมายที่ตกค้างอยู่ในความคิดอยู่นานด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรก่อนเป็นอย่างแรก

“…อิกนิส”

“หืม?..”

“ขอบคุณสำหรับช็อกโกแลต”

“ก็บอกแล้วว่า..”

“ฉันรู้ว่านายทำเอง, ใช่มั้ยล่ะ?” หนนี้เป็นเขาที่ชิงตัดบท หลังจากฟังสิ่งที่น็อคทิสบอกแล้วคิดสรตะไปทั่ว นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาสรุปออกมาได้ในที่สุด ซึ่งมันก็คงเป็นคำตอบที่ถูกเพราะคนถูกขัดเงียบไปนาน มือข้างหนึ่งผละขึ้นขยับแว่นตาทั้งๆที่มันไม่ได้หลุดหลวมหรืออะไรเลย

…อิกนิสกำลังประหม่า…

นั่นเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้ผ่านการคบกับ รู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อเป็นเขาเสียเองที่เข้าใจผิดแล้วพาลหงุดหงิดไปแบบนี้ “โทษทีนะที่ไม่ได้เตรียมอะไรให้เลย ..ฉันคิดว่านายไม่สนใจเทศกาลพวกนี้น่ะ..”

ริมฝีปากของคนฟังเม้มแน่นเป็นเส้นตรง อิกนิสตัดสินใจชะลอรถแล้วเทียบจอดเข้าข้างทางก่อนจะตั้งสติหันมาเผชิญหน้ากับคนด้านข้าง แต่ยังไม่ทันอ้าปากจะพูดคอของเขาก็ถูกคว้า ริมฝีปากที่ยังมีกลิ่นกาแฟเหลืออยู่นั้นแนบทาบเข้ามา จูบนั้นดึงดันและเอาแต่ใจเหมือนเคยจนแม้แต่ตัวเขาเองก็พลอยลืมเรื่องที่ตัวเองจะพูดไปด้วย

“ขอบคุณนะ” กลาดิโอพูดขึ้นอีก ครั้งนี้อิกนิสรู้สึกเขินขึ้นมาจริงๆเพราะมันผิดจากที่ตั้งใจของเขาไว้ทั้งหมด เขาไม่ได้คิดว่ากลาดิโจะรู้ว่าเขาโกหกเรื่องประชุม

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วเลยนะ” แผนที่จะให้ช็อกโกแลตอย่างแนบเนียนของเขาแตกเสียไม่มีชิ้นดี นอกจากจะรู้ว่าโกหกแล้ว กาดิโอยังรู้เสียอีกว่าเขาเป็นคนทำมันขึ้นเองเพราะเทศกาลสาวน้อยแบบนี้ ไม่มีอะไรจะชวนให้รู้สึกอายไปมากกว่านี้อีกแล้วสำหรับเขาในตอนนี้

เหนื่อสิ่งอื่นใดใบหน้าของเขาที่ร้อนขึ้นมา อยู่ห่างกับใบหน้าของคนตรงหน้าแค่เพียงปลายลมหายใจรินรดเท่านั้นในตอนนี้ นึกไม่ออกเลยจริงๆว่ากลาดิโอจะไม่รู้สึกถึงมันได้ยังไง

เมื่อถูกสั่งห้ามราชาองครักษ์ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเกลี่ยปลายนิ้วโป้งไปบนผิวแก้มของคนตรงหน้า ไล้มันลงมายังริมฝีปากบังคับมันให้เปิดเผยอก่อนจะครอบครองมันไว้ด้วยริมฝีปากของตนอีกครั้ง อีกครั้ง..และอีกครั้ง…

“ไปค้างบ้านฉันนะ” กลดิโอชวนผ่านเสียงกระซิบเมื่อริมฝีปากคลายออก

“ก็ตั้งใจแบบนั้นแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไง?”

กลาดิโอหัวเราะขึ้นมาในคอกับประโยคนั้น เบนใบหน้าไปจูบอุ้งมือที่เกลี่ยสัมผัสใบหน้าของเขาอยู่ ตอนนี้เขาเข้าใจทั้งหมดแล้ว ที่ผ่านมาอิกนิสไม่ได้ตอบปฏิเสธหรือเย็นชากับเขา แต่ท่าทางเจ้าตัวไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนจึงกระอักกระอ่วนมาพอสมควรที่จะทำให้สิ่งที่ตัวเองเตรียมมานั้นราบรื่นและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด แล้วแผนก็มาแตกไม่เป็นชิ้นดีในตอนสุดท้ายซะอีก

“นายที่เป็นแบบนี้ฉันก็ชอบนะ..โอ๊ย!” เสียงร้องลั่นเพราะอีกคนกัดริมฝีปากของเขาเข้าอย่างจัง

“…ก็บอกว่าไม่ให้พูดอะไรแล้วไงล่ะ”อิกนิสดันตัวออกห่างจาอีกคนกลับมานั่งที่เดิม รู้สึกโชคดีที่ความมืดยามค่ำคืนช่วยปิดบังสีบนใบหน้าของเขาที่มีคนแดงไปจนหมด

กุญแจรถถูกบิด รถสีเข้มมันปลาบเคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่จุดหมายอีกครั้ง

“คืนนี้ฉันจะขอบคุณเป็นการกระทำให้แทนแล้วกัน”

คนพูดเลียแผลบนริมฝีปากยังคงมีอารมณ์หัวเราะ ในขณะที่ราชเลขาได้แต่นั่งเงียบไปจนสุดทาง

……………………………………………………

[FFXV Gladiolus/Ignis] Insist

Final FantasyXV Fan Fiction
*CHAPTER 10 SPOILER ALERT*

Title : insist
Pairing : Gladiolus/Ignis
Rate : NC-17
Note : บทสนทนาที่ใช้มาจากเกมเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นซึ่งใช้คำต่างจากเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ อาจมีเนื้อหาไม่ตรงกัน

สายฝนพร้อมเสียงกัมปนาทหยุดลง ร่างไร้สติของว่าที่ราชันย์ถูกปฐมพยาบาลและนำไปพักฟื้นอย่างทันท่วงที

พวกเขาพยายามถึงที่สุดแล้วแต่ผลลัพธ์อันน่าสลดนั้นก็มิอาจคาดเดา

กลาดิโอลัสวางร่างไร้สติลงบนเตียงท่ามกลางความนิ่งงัน ลมหายใจของคนที่ต้องปกป้องแผ่วจนน่าใจหายทว่ามันก็เป็นสัญญาณของการมีชีวิต

…ยังคงอยู่ ราชาของพวกเขา...

“แหวนล่ะ?..” เสียงเย็นๆถามขึ้น เมื่อสถานการณ์เริ่มสงบลง คนถูกถามปรายตามองสำรวจทั่วร่างของคนที่กำลังนอนนิ่ง

“มือน็อคกำแน่นไม่ยอมปล่อยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว คงจะเป็นแหวนนั่นล่ะ” เขาพูดตอบอีกคนดูมีท่าทางผ่อนคลายขึ้นบ้าง มือของเขาแตะเข้าเบาๆที่ศอกของอิกนิส “นายเองก็เจ็บหนัก ไปพักซะบ้างเถอะ”

อิกนิสไม่ได้ตอบคำพูดนั้น เขาควานมือเปะป่าย พยายามจะหาเก้าอี้ในทิศทางที่ควรจะมีมันอยู่ พรอมโต้เดินเข้ามาเหมือนรู้ด้วยสัญชาตญาณ “เก้าอี้อยู่ทางนี้อิกนิส”

เขาเดินตามแรงดึงของคนตัวเล็กกว่าที่ได้ยินแค่เสียงก็รู้สึกได้ว่าหม่นหมองไปกว่าปกติ

“ฉันจะอยู่เฝ้าจนกว่าน็อคจะฟื้น” กล่าวเรียบหลังจากนั่งลงกับที่เรียบร้อย

หา!?” กลาดิโอกระชากเสียงคิ้วมุ่นหนัก “อยู่ที่นี่แล้วนายทำอะไรได้หรือไง?!

“…ใช่ว่าไปอยู่ห้องอื่นแล้วฉันจะพักได้ลง…” อิกนิสสวนคำด้วยเสียงเรียบนิ่ง นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่จะตัดบทสนทนาและทุกคนก็รู้ดี

คนตัวใหญ่กระฟัดกระเฟียดออกจากห้องพัก ตามหลังด้วยพรอมโต้ที่ลังเลและดูทำอะไรไม่ถูกเข้าในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ “ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ตลอดนะอิกนิส” เจ้าตัวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ดึงประตูให้ปิดลง

ความเงียบโรยตัวยิ่งกว่าเดิม อิกนิสเงี่ยหูฟังเสียงหายใจผ่อนช้าของคนบนเตียง เขาดึงถุงมือข้างนึงออก สัมผัสผ้าผืนบางที่พันอยู่รอบดวงตาของตน เขามีความสามารถในการรักษาและได้ใช้มันปฐมพยาบาลเบิ้องต้นอย่างทันท่วงที ทำให้มันไม่ลุกลาม จากทีรับรู้ผ่านปลายนิ้วบาดแผลนั้นแห้งสนิทดี เขาไม่รู้ชัดนักว่ามันมีสภาพเป็นอย่างไร รู้เพียงแค่ความมืดสนิทที่โรยตัวอยู่นี้อาจไม่จากเขาไปไหนอีก

อิกนิสยอมรับว่ากลัว แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำอะไรได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือคนที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ในขณะนี้ต่างหาก คนที่พวกเขาต่างรู้ดีว่าต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่

น็อคทิสสูญเสียอะไรไปมากโดยที่เจ้าตัวไม่รู้และไม่อาจเลือกได้ เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ความมืดนี้ก็เป็นแค่ก้อนหินที่ทำให้ปลายเท้าสะดุดก็เท่านั้น

ราชเลขาแห่งลูซิสผ่อนลมหายใจในความสงัด ถือโอกาสใช้ช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวนี้จัดระบบความคิดอันวุ่นวายให้เข้าที่เข้าทาง

………………………………………..

เสียงลมหายใจสะดุดพร้อมเสียงสวบสาบดังขึ้นในวันที่สาม อิกนิสรับรู้ได้ในทันทีว่าคนที่ตนเฝ้ารอได้ตื่นขึ้นแล้ว บทสนทนาที่แสนเศร้าแต่น็อคทิสจำเป็นต้องรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังจากที่หมดสติไป

หากเทียบกันในกลุ่มพวกเขาแล้ว อิกนิสก็ดูจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการแจ้งข่าวสำคัญครั้งนี้ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนักก็ตาม

ความเงียบนั้นทำให้รู้ว่าน็อคทิสกำลังพยายามทำตัวเข้มแข็ง อีกฝ่ายเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่รู้จักกันมา เขาคิดว่าคงจะดีกว่านี้หากน็อคทิสยอมปลดปล่อยมันออกมาบ้างอย่างน้อยก็ในเวลานี้

..แต่เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้บทสนทนาจบลงเท่านั้น…

“ฉันจะไปเรียกคนอื่น” เขาพูดขึ้นลอยๆ ทิ้งเวลาครู่หนึ่งเพื่อให้น็อคทิสได้ตั้งตัว เขาเดินอย่างทุลักทุเลเล็กน้อยแต่มันก็คุ้นชินกว่าเมื่อสองวันที่ผ่านมามาก

ประตูบานใหญ่ถูกผลักออก โดยไม่ต้องพูดอะไรเสียงฝีเท้าหนึ่งก็วิ่งสวนเข้าไปในห้องทันที พรอมโต้คงรอวินาทีนี้อยู่นานแล้ว

อิกนิสเดินต่อแม้ไม่ได้ยินเสียงแต่เขาก็รู้ดีว่าร่างสูงใหญ่ของกลาดิโอลัสกำลังเฝ้ามองเขาจากอีกฟากของห้อง ดูไม่ให้เขาก้าวพลาดไปชนอะไรเข้า และแน่นอนว่าเจ้าตัวยังคงหงุดหงิดมากทีเดียว

…ทางขวามืออีกสามก้าวจะถึงแจกันประดับใหญ่ ห้าก้าวจากนั้นจะถึงประตูห้อง…

เขาจดจำรายละเอียดของห้องได้ดีพอสมควรทีเดียว เพราะไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับมามองเห็นได้อีก แต่กระนั้นเขาก็จงใจเดินเข้าไปใกล้แจกันนั่น แล้วทำเป็นเกี่ยวมันด้วยปลายไม้เท้า

ไม่ต้องนับถอยหลัง มีแรงกระชากดึงจากด้านหลัง ไม่รุนแรงจนเสียหลักแต่ก็หยุดการเคลื่อนไหวของเขาไว้ได้พร้อมกับเสียงกรุ่นต่ำ “ขอความช่วยเหลือหน่อยมันจะตายหรือไง”

อิกนิสไม่ได้พูดตอบ เขากะระยะทิศทางและความใกล้ของเสียงที่แนบแทบจะติดใบหูของตนแล้วพิงหลังแนบลงกับอกของคนที่เข้ามารับ “ยังโกรธอยู่อีกเหรอ?”

เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองไม่หลับไม่นอนเฝ้าว่าที่ราชาในอนาคต และตอนนี้กลาดิโอก็รู้สึกตัวแล้วว่าถูกอีกคนหลอกเข้าให้ เขาถอนใจหน่าย ทั้งกับอีกฝ่ายแล้วก็ตัวเองที่ตกหลุมง่ายๆเสียทุกที มือใหญ่ละออกจากการรั้งดึงแขนนั่น แต่ยังยืนนิ่งปล่อยให้อีกคนพิงเอาตามใจ

…ไม่พอใจขึ้นมาอีกที่อิกนิสแสดงการง้อเขาเพียงเท่านี้ตัวเองก็ใจอ่อนเอาง่ายๆ

นานๆครั้งอิกนิสจะทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าตัวรู้สึกผิด แต่เป็นเพราะต้องการลดแรงตึงระหว่างเขาทั้งคู่ เวลาที่เขาหงุดหงิดราชเลขาที่ไม่ชอบการแตะต้องตัวเกินกว่าเหตุในที่สาธารณะนั้นจะยอมลดการ์ดลงและเป็นฝ่ายเข้าใกล้เขาเองแบบนี้ แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่มันก็ได้ผลเสียทุกครั้งจริงๆ

“ถึงฉันจะไม่โกรธ แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นด้วยหรอกนะ”

คนฟังยกรอยยิ้มจางๆที่มุมริมฝีปาก เจ้าของแผ่นอกที่เขาอิงแนบอยู่นั้นบรรยากาศอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
…แต่ก็ยังหัวแข็งอยู่ดี…

ได้แต่รำพันในใจก่อนจะละขึ้นยืนดีๆแล้วหันไปประจันหน้าอีกคน นึกใจหายขึ้นมาที่จะไม่ได้เห็นใบหน้านั่นอีก เขายกมือขึ้นกะระยะจากความเคยชิน แนบฝ่ามือเข้ากับใบหน้านั้น สัมผัสแนวสันกรามคมชัดอย่างเคยมือ “หายโกรธก็ดีแล้ว..”

แน่นอนว่าในตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมาพวกเขาทะเลาะกันนับครั้งไม่ถ้วนถึงอนาคตหลังจากนี้ กลาดิโอลัสไม่เห็นว่าอิกนิสจะสามารถร่วมทางกับพวกเขาอีกต่อไปได้จากสภาพดวงตาในตอนนี้ และแน่นอนว่าราชเลขาที่หัวแข็งไม่แพ้กันนั้นย่อมไม่เห็นด้วยและหาเหตุผลนานับประการขึ้นมาหว่านล้อม การทุ่มเถียงที่ไม่มีทางออกนั้นทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่จะสามารถปรามได้นั้นนอนนิ่งไม่ได้สติ

เจ้าของใบหน้าอิงแนบกับอุ้งมือเพรียวยาว งับปลายนิ้วที่คลอเคลียอยู่ใกล้ริมฝีปากของตนอย่างหยอกเอิน ก่อนจะโน้มใบหน้าลงแนบจูบบนริมฝีปากของคนที่ยังไม่ได้ตั้งตัว

อิกนิสรู้สึกลังเลเพราะพวกน็อคทิสนั้นอยู่ห่างออกไปแค่ประตูห้องกั้น แต่สติสัมปชัญญะของเขาก็เริ่มไม่ค่อยทำงานเท่าไหร่แล้ว เขาแนบตอบสัมผัสที่ชวนให้รู้สึกเจ็บลึกๆในใจขึ้นมานั้นด้วยริมฝีปากของตัวเอง เป็นความจริงที่พอดวงตามองไม่เห็นร่างกายก็พาลพึ่งพาสัญชาตญาณด้านอื่นทั้งหมดขึ้นมาแทน เขายืนตัวเกร็ง สัมผัสง่ายๆที่คุ้นเคยนั้นก็กลับไม่รู้สึกเหมือนเดิมจนกังวลใจขึ้นมา

เขาไม่รู้ว่าอีกคนกำลังจะทำอะไร ไม่รู้ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังลอบมองปฏิกิริยาของเขาเหมือนเคยหรือเปล่า และสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้อิกนิสประหม่าขึ้นมาเมื่อจูบเผินๆนั้นเริ่มจะลึกล้ำขึ้น ร่างของเขาสะดุ้งมันไม่ใช่สิ่งที่ห้ามได้ เขากระถดปลายลิ้นหนีสัมผัสจากอีกคนและส่งเสียงครางต่ำลอดลำคอ
ริมฝีปากถูกเม้มกัดแต่ฝ่ายตรงข้ามก็ยอมละสัมผัสออกง่ายจนเขาคาดไม่ถึง “…?”

กลาดิโอลัสไม่ได้พูดอะไรกับท่าทีเชิงปฏิเสธนั้นแต่อิกนิสก็ได้ยินอีกคนทำเสียงต่ำๆกึ่งไม่พอใจในคอ

“กลาดิโอ..?”

อีกคนเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตามปกติ “ฉันจะเข้าไปดูน็อคหน่อย”

เขาพยักหน้ารับคืนสีหน้าเป็นปกติตาม ได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนห่างออกไป “เรื่องจากนี้ฉันจะรอให้น็อคเป็นคนตัดสินใจ”

ไม่มีคำตอบรับกลับมาแต่เขารู้ว่าอีกคนได้ยิน และคิดแบบนั้นเช่นกัน

………………………………………..

ทุกคนกำลังหมดอาลัยตายอยาก… เรียกไม่ผิดนักเพราะบรรยากาศมันชวนให้คิดแบบนั้นจริงๆสำหรับคนที่มองอะไรไม่เห็นอย่างเขา

น็อคทิสที่ดูจะหมดแรงทำอะไรไปจนสิ้น นั่งคลึงแหวนที่คล้องอยู่ที่คอใต้เสื้อ ดูเหมือนว่าด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถสวมมันได้ในตอนนี้ แต่เจ้าตัวดูเหมือนกำลังรู้สึกว่าจะอะไรก็ช่าง

พรอมโต้ก็เหมือนกัน เมื่อเพื่อนที่เขาดั้นด้นติดตามออกจากเมืองนั้นไม่มีกะใจจะทำอะไร เจ้าตัวก็พลอยติดเชื้อไปด้วยเสียแบบนั้น

…จะว่าไม่เข้าใจก็คงไม่ใช่…

เขาอยากให้เวลาน็อคทิส มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่สถานการณ์ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจะมาเอ้อระเหยอย่างสบายใจได้อีกแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงต้องเดินทางกันต่ออย่างช่วยไม่ได้

ภายในรถไฟที่มุ่งตรงสู่เทเนแบร เสียงคุยขวักไขว่นั้นดูห่างไกลเหลือเกินสำหรับเขาที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนที่เป็นใบ้ไปตามๆกัน

นี่เป็นสัปดาห์ที่สามแล้วจากเหตุการณ์นั้น สวนทางกับน็อคทิสที่เงียบลงเรื่อยๆ กลาดิโอลัสนั้นเจียนจะระเบิด และเหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นในทันทีที่นึกถึง ราชองครักษ์พูดจาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเมื่อเทียบกับแผลที่ยังสดใหม่

“นายคิดว่าทุกคนเสียสละเพื่อจะให้นายมานั่งเฉยๆอยู่แบบนี้รึไง?! ดูอิกนิสสิ!”

“กลาดิโอพอได้แล้ว..”

“คิดว่านายเป็นราชา.. แต่ที่แท้ก็แค่เด็กขี้ขลาด”

“อย่าพูดแบบนั้น!..”

เขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างจะได้ยืนก็เพียงเสียงทุ่มเถียงและการกระชาก แต่มันคงรุนแรงพอตัวพรอมโต้จึงได้ลุกเข้าไปขวางแม้จะจบลงที่โดนผลักออกมานอกวงอย่างไม่ใยดี

“ฉันเข้าใจแล้วน่า!!!” น็อคทิสกระชากเสียงกลับ “เข้าใจทั้งหมดนั่นล่ะ!”

“ถ้างั้นก็เลิกงอแงเป็นเด็กๆ แล้วก้าวต่อไปได้แล้ว!”

น็อคทิสพูดต่อไม่ออกเสียงสบถดังขึ้นในลำคอ เสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่แยกไปคนละทาง เหตุการณ์จบลงเพียงเท่านั้นเพราะเขาเองก็ไม่สามารถจะเลือกตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปได้

กระทั่งเดินทางเข้าไปจนจะถึงสุสานถัดไปอยู่แล้วความตึงเครียดนั้นก็ยังไม่คลายลงเลยแม้แต่น้อย

น็อคทิสนั้นแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ไว้บนบ่าเล็กๆ พร้อมกับบาดแผลที่จวนจะขาดวิ่น หน้าที่ของราชานั้นยิ่งใหญ่ เขาไม่เคยข้องใจในตัวของน็อคทิส แต่ก็อีกนั่นแหละ ในความเป็นจริงแล้วน็อคทิสก็ยังเป็นวัยรุ่นหัวร้อนคนหนึ่งที่สูญเสียสิ่งที่รักแทบจะทั้งหมดไปในเวลาอันสั้น ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเสียศูนย์ไป

ราชองครักษ์อาจไม่รู้ แต่เขาที่เดินตามมาโดยเว้นระยะไว้นั้นได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่แทบจะทั้งหมด รู้ดีว่าที่กลาดิโอพูดนั้นเพียงเพื่อต้องการกระตุ้นให้น็อคทิสก้าวเดินต่อไปได้โดยเร็วที่สุด เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ไม่ห้าม หากบาดแผลในตอนนี้มันลึกเกินกว่านั้น และคำพูดเหล่านั้นก็ไม่อาจทำให้มันเต็มตื้นขึ้นมาได้

เขามองไม่เห็นแต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้ การได้คลุกคลีกับคนทั้งคู่มาตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เขารู้ว่าทั้งราชาและองครักษ์นั้นนิสัยเหมือนกันยังกับอะไร ทั้งสองคนนั้นหัวร้อนและเอาแต่ใจ เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงไม่มีใครคิดที่จะลงให้ก่อน ความมึนตึงนี้จึงใกล้จะถึงการระเบิดอีกครั้งอยู่ในที

หากเป็นในเวลาปกติแล้วตัวเขาคงแบ่งเบาความตึงเครียดนั้นลงมาได้ไม่มากก็น้อย แต่ด้วยการที่ร่างกายของเขาเป็นแบบนี้ ทำให้กลาดิโอไปพาลลงกับน็อคทิสเอาโดยตรง เหตุการณ์ที่วนลูปซ้ำๆอยู่นี่ก็ทำให้เขาเองก็ทนกับบรรยากาศไม่ไหวขึ้นมาเช่นกัน

“รอก่อน…” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด ท่ามกลางความตึงเงียบที่มีเพียงเสียงก้าวผ่านแอ่งน้ำ

“เป็นอะไรรึเปล่า?” กลาดิโอหันกลับมาถาม ทุกคนหยุดยืนนิ่ง

จะพอกันได้รึยัง.. ฉันไม่อยากจะทนแล้วกับการทะเลาะยืดยาวงี่เง่าของพวกนาย”อิกนิสไม่ได้อยากจะพูดเพราะมันเป็นเหมือนการยอมรับสภาพอยู่ในที แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วการจมอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่ทางแก้ “ตาของฉันยังไม่ดีขึ้นเลย… แล้วมันก็อาจจะไม่มีทางกลับมามองเห็นได้อีกครั้งด้วย”

“..แต่ว่าฉันก็อยากที่จะไปไปต่อทั้งๆแบบนี้ อยู่ร่วมกับพวกนายจนถึงที่สุด”

“โทษที แต่ฉันไม่เห็นด้วย สงครามนี่เกี่ยวข้องกับความเป็นตาย” กลาดิโอโพล่งสวนในทันที

อิกนิสเงียบไป เป็นพรอมโต้ที่พูดขึ้นมาแทน “แต่พวกเราช่วยเหลือกันได้!”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ช่วยรึเปล่า..” คนตัวใหญ่กดเสียงต่ำ

“คนที่จะเลือกน่ะคือตัวอิกนิสเองต่างหาก!”

“เขารับไม่ไหวหรอก!!”

“ฉันรู้ดีน่า!!” เขาหลุดโพล่งออกมาในที่สุด ด้วยความรู้สึกที่ทะลักล้น “ฉันไม่ได้ขอให้ช่วย.. ฉันรู้ตัวเองดี.. ถ้าฉันไม่ไหวขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เมื่อถึงตอนนั้น..”

“…ฉันจะเป็นฝ่ายจากไปเอง…”

ทุกอย่างนิ่งลงไปชั่วครู่ กลาดิโอลัสยอมรับการตัดสินใจของเขาในที่สุด ก่อนจะหันไปหาคนที่ยืนเงียบมาแต่ต้น “ท่านราชาจะว่ายังไงล่ะ?…”

“น็อค..นายคือคนที่จะกลายเป็นราชานะ” อิกนิสหันไปหาเจ้าของชื่อ รู้ดีว่าอีกคนอยู่ในจุดที่เปิดรับฟังเขามากที่สุด “ราชาจะต้องเดินหน้าเสมอ นายจะเป็นผู้นำใครไม่ได้ถ้านายเอาแต่ยืนเฉยอยู่แบบนี้..”

“กลาดิโอ น็อคคู่ควรกับการเป็นราชา เขาแค่ต้องการเวลาเท่านั้น.. ให้เวลาเขาหน่อย”

“เข้าใจแล้วน่า..” เสียงแข็งกร้าวนั้นอ่อนยวบลง “แต่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่นั่นล่ะ.. ระวังตัวเอาไว้ด้วยแล้วกัน” เขาพูดทิ้งเพียงเท่านั้นแล้วก้าวออกไป

กลาดิโอลัสอาจจะมีข้อเสียมากมาย แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เหมือนที่เขารู้ กลาดิโอเองก็รู้ดีว่าไม่มีใครควรคู่กับการเป็นราชาเท่ากับเด็กคนนี้ที่พวกเขาเฝ้าดูแลปกป้องมาโดยตลอดอีกแล้ว และการเตือนของเขาก็พาเอาสติของคนทั้งคู่กลับมาในจุดที่มันควรจะอยู่

…แค่ให้เวลาน็อคทิสหน่อยเท่านั้น…

………………………………………..

“พวกนายไม่มีฉันไม่ได้หรอก” อิกนิสกล่าวติดตลก นอนคว่ำทับอยู่บนร่างใหญ่โตขององครักษ์ส่วนพระองค์

กลาดิโอลัสระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ จากเหตุการณ์ในสุสานกษัตริย์ครั้งล่าสุด แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่การคงอยู่ของอิกนิสนั้นก็สำคัญกับการเดินทางของพวกเขาจริงๆ

ตอนนี้พวกเขาอยู่ระหว่างการเดินทางด้วยรถไฟ มุ่งหน้าตรงสู่เทเนแบรตามความตั้งใจของน็อคทิส

อันที่จริงการนอนรวมกันสี่คนก็สะดวกดี เพียงแต่อย่างที่เขาบอก น็อคทิสต้องการเวลาจัดการกับความคิดอันวุ่นวายในหัวของเขา และคงจะดีกว่าหากปล่อยให้เจ้าตัวได้อยู่กับตัวเองเสียบ้าง พวกเขาจึงได้ตกลงแยกที่นอนกันจนกว่ารถไฟจะถึงที่หมาย ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้วจะมีพรอมโต้คอยกวนอยู่ด้วยก็ตาม

อิกนิสหลับตาลง อิงหน้าผากแนบแผ่นอกตึงแน่นฟังเสียงหายใจเนิบนาบ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อเรื่องที่คาใจจบไปได้เสียเรื่อง พอมาคิดดูดีๆแล้วก็กินเวลานานเอาเรื่องอยู่เหมือนกันที่พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันโดยสงบแบบนี้

…ตั้งแต่ตอนที่น็อคฟื้นขึ้นมาเลยรึเปล่านะ…

เมื่อกระหวัดคิดไปถึงเรื่องวันนั้น ความกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นตอนจูบกันก็แจ่มชัดขึ้นมาอีก คิ้วของเขามุ่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจขยับตัวลงจากคนที่นอนกอดเขานิ่งแต่ติดมือที่รั้งเอวเอาไว้จึงไม่สามารถเขยื้อนกายออกจากจุดเดิมอย่างที่คิดไว้ได้ “ฉันจะลงไปนอนดีๆแล้ว..”

“อยู่ตรงนี้ก็นอนได้นี่” ไม่ได้ว่าเปล่าเคลื่อนมือตามเส้นแนวร่างผ่านเสื้อเชิ้ตตัวเรียบ

คนฟังย่นหัวคิ้วเข้าหากันหนักกว่าเดิม เงยใบหน้าขึ้นเหมือนจะมองหน้าคนขยันหาเรื่องอย่างที่เคยทำแม้ตัวเองในตอนนี้จะมองอะไรไม่เห็นก็ตาม

กลาดิโอลัสรอวินาทีนั้นอยู่ เขาขยับศีรษะแนบริมฝีปากเข้ากับปากที่เผยออ้าเตรียมจะปรามาสเขา หยุดเสียงนั้นให้กลับลงคอไป มือที่ล็อคเอวอีกคนไว้ละเลื่อนขึ้นมายังต้นคอ รั้งใบหน้านั้นเอาไว้ไม่ให้ผละหนี อิกนิสรู้สึกหงุดหงิดและลังเลกับความกะทันหันนั้น แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธ ร่างถูกพลิกวางลงกับเตียง ถึงจะเป็นตู้นอนแต่ขนาดเตียงนั้นก็เป็นแค่เตียงเดี่ยวธรรมดา ร่างที่ถูกดันจึงโดนเบียดเข้ากับกำแพงอย่างช่วยไม่ได้

“อ..อึดอัด” คำประท้วงหลุดออกมาพร้อมลมหายใจที่พรูออก เขามองไม่เห็นและไม่สามารถมองตอบสายตาหลากอารมณ์นั้นได้ เพราะฉะนั้นการพูดสิ่งที่คิดไปตามตรงจึงเป็นการตอบสนองเดียวที่เขาให้ได้ตอนนี้ มือของเขายกขึ้นดันร่างที่เบียดทับลงมาออก แต่มือเพียงข้างเดียวของกลาดิโอก็สามารถกระชากตัวของเขาให้ลงมานอนอยู่บนเตียงใต้การควบคุมของฝ่ายนั้นได้อย่างง่ายดาย

ราชเลขาส่งเสียงไม่พอใจเมื่อโดนขังเอาไว้กับเตียง และแสดงออกด้วยกับขบฟันเข้ากับริมฝีปากเอาแต่ได้นั่นแรงเสียจนเลือดออก กลาดิโอแค่นเสียงในคอแต่เขาไม่ได้หยุด รสเลือดเค็มปร่าจึงผ่านปลายลิ้นและริมฝีปากนั้นเข้ามาด้วย

อาจเพราะไม่ได้สัมผัสกันมานานจูบของคนบนกายถึงได้ดูดุดันและเรียกร้องเอามากกว่าปกติ อิกนิสออกแรงบีบมือที่วุ่นวายกับเสื้อผ้าของเขาเหมือนจะขอให้การเคลื่อนไหวนั้นชะลอลงหน่อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากลาดิโอไม่ได้ตีความท่าทางของเขาด้วยความหมายเดียวกับที่เขาต้องการ เมื่อริมฝีปากนั่นเคลื่อนออกอีกครั้งทั้งเสื้อและกางเกงของเขาก็ถูกจัดการเสียจนหมิ่นเหม่

เสียงครางเกือบหลุดออกจากปาก อิกนิสยกมือขึ้นมากั้นมันไว้ ความสากของเคราที่ลากก่ายไปบนผิวทำให้เขาต้องงอตัวหลบโดยอัตโนมัติ

พอดวงตาใช้การไม่ได้ความคุ้นเคยก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย ลมหายใจของเขาติดขัดจากการเล้าโลมเพียงเล็กน้อยของฝ่ายนั้น เสียงและสัมผัสที่ไม่เคยสังเกตมาก่อนในตอนที่ยังมองเห็นนั้น ทำให้เขาพบว่ามันน่าอายยิ่งมากกว่าที่เคยรู้สึก

กลาดิโอลัสลากปลายนิ้วไปตามแนวสอบเอว สัมผัสผิวเนื้อภายใต้เสื้อเนื้อดีที่ไม่ได้เห็นเสียนานนั่นเอาตามใจ ทุกครั้งที่ริมฝีปากเขาประทับลงบนแผ่นผิวร่างกายนั้นจะสั่นขึ้นน้อยๆจนสังเกตได้ เขาไล้มือข้างหนึ่งลงไป กอบกุมเอาความต้องการที่ดุนดันผ่านซับในสีสะอาด อิกนิสสะดุ้งเฮือกท่อนขาเพรียวยาวนั่นกระตุกขึ้นมาบังส่วนสำคัญโดยอัตโนมัติ

ดวงตาสีน้ำตาลแดงปรายขึ้นสำรวจร่างที่สั่นเทาเล็กน้อยอยู่ใต้ร่างของเขา แม้จะมองไม่เห็นแต่สองมือของอิกนิสก็ยกขึ้นปิดบังใบหน้าเสียจนมิด ราชองครักษ์รู้สึกขัดใจเล็กน้อยจึงได้ฝากรอยเขี้ยวจางๆไว้ที่หลังมือนั่นแทนคำพูด

ได้ยินเสียงสูดริมฝีปากและครางเครือดังลอดฝ่ามือที่ยังไม่ยอมขยับนั้นออกมา กลาดิโอตัดสินใจกระตุ้นความต้องการที่กอบกุมเอาไว้ในมือแทน ลมหายใจขาด อิกนิสงอตัวหลบสัมผัสจากมือของเขาอย่างเปล่าประโยชน์ เขาหมดความอดทนกับการอดกลั้นเกินจำเป็นนั้นในที่สุด มือข้างที่ว่างอยู่รวบเอาข้อมือทั้งคู่ไว้ดึงรั้งขึ้นสูงจับล็อกมันไว้เหนือศีรษะของเจ้าตัว

ราชเลขากำลังหมดท่า ไม่ได้นับร่างกายที่รู้สึกไวจนเกินเหตุของเขา ใบหน้าที่ร้อนจนแม้แต่เจ้าตัวเองก็รู้ว่ามันคงแดงไปหมด อิกนิสไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกอายจนแม้กระทั่งกระบอกตายังร้อนผ่าว และตอนนี้เขาก็กำลังถูกไล่ต้อนให้เปิดเผยสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด

คนมองส่งเสียงครางต่ำในคอ เมื่อไม่มีอะไรมากั้นอีก เสียงครางสูงก็ดังลอดออกมาทันทีที่เขาขยี้ท้องนิ้วเข้ากับส่วนปลายของสิ่งในอุ้งมือ ก่อนมันจะถูกหยุดไว้ด้วยการกัดริมฝีปาก

“นี่นายไม่รู้สึกไวเกินไปหน่อยหรือไง” กลาดิโอลัสโน้มใบหน้าลงกระซิบเสียงพร่าพูดจี้ใจดำ ทำเอาเขาได้แต่จิกมือที่จับล็อกมือของเขาเอาไว้เพื่อระบาย มือหยาบใหญ่ละจากแก่นกายในมือไปถอดกางเกงสแล็กที่ดูเกะกะลูกตานั่นทิ้ง เหลือไว้เพียงเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เปิดอ้า และถุงเท้าที่เกือบจะหลุดรุ่ย

กลาดิโอไม่เคยบอกแต่เขาเสพติดร่างกายของอิกนิสมากเกินกว่าที่เจ้าตัวจะรู้เสียอีก

ลำคอนั่นแอ่นเชิดเมื่อเขาละลมหายใจเข้าใกล้ผิว สร้อยคอรูปกะโหลกอันเล็กส่งเสียงเล็กน้อยเมื่อมันกลิ้งผ่านแผ่นอกก่อนตกร่วงไปที่หลังคอ กลาดิโอคว้าเอาข้อเท้าที่มีเพียงถุงเท้าจวนจะหลุดมิหลุดแหล่ ลูบสัมผัสไล่ขึ้นมาจนถึงโคนขาอย่างที่ชอบทำเสมอ นวดกระตุ้นผิวเนื้อด้านในที่กำลังสั่นเกร็ง ข้อมือที่เขาตรึงไว้ออกแรงกระชากขึ้นอีกครั้ง ขาคู่นั้นปัดป่ายอย่างไร้หลักเมื่อดวงตามองไม่เห็น

“ป..ปล่อย ไม่เอ.าแบบ..นี้” เสียงสั่นๆดูพยายามอย่างมากที่จะเค้นออกมาให้เป็นคำ กลาดิโอเงยหน้าขึ้นจากการฝากรอยฟันไว้ที่ผิวนั้นเลื่อนตัวขึ้นมองใบหน้าที่ไม่ได้น่ามองน้อยลงเลยแม้แผลฉกรรจ์นั่นจะพาดผ่าน

…อันตรายชะมัด…
เขาละมือออกแน่นอนว่าอิกนิสก็ยังยืนกรานที่จะใช้มันมาปิดหน้าตัวเองไว้อีก “นายอยู่กับฉัน..” เขาพูดขึ้นลอยๆ ดึงมือคู่นั้นออกอีกย้ายที่ให้มันมายึดอยู่ที่คอของเขาแทน “เลิกพยายามทำอะไรแบบนั้นซักที..”

คนถูกห้ามอ้าปากจะเถียงแต่เสียงครางที่ไม่ได้ตั้งใจก็ลอดออกมาแทนเมื่อความต้องการถูกรูดรั้ง เสียงเปียกลื่นที่ดังขึ้นจากเบื้องล่างนั้นไม่ต้องมองเห็นก็รู้ว่าร่างกายให้ความร่วมมือกับคนข้างบนขนาดไหน

ราชองครักษ์ฝังใบหน้าลงกับลำคอของอีกคน สูดรับกลิ่นไอจางๆที่ชอบ ก่อนจะละมือออกจากสิ่งที่กอบกุม “หรือถ้านายกลัวจะให้หย..-โอ๊ย!

น้ำเสียงอ่อนๆที่แฝงไปด้วยความลังเลหยุดลงกะทันหัน เมื่อมือที่รั้งอยู่กับหลังคอทุบลงมาเสียเต็มแรงเล่นเอาเกือบเห็นดาว ได้ยินราชเลขาสบถว่างี่เง่าในคอ แต่มันก็เบาจนไม่แน่ใจนัก ศีรษะของเขาถูกรั้งลงพร้อมๆกับริมฝีปากคนด้านล่างที่แนบขึ้นมา

อิกนิสกำลังหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะคำพูดของกลาดิโอ แต่เป็นสิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจอีกฝ่ายต่างหากที่เขาคิดว่ามันงี่เง่าเสียเต็มประดา ราชเลขาล็อคใบหน้าหล่อคมเอาไว้ จูบนั้นหนักแน่นเมื่อเทียบกับดวงตาที่มองไม่เห็น กลาดิโอลัสแนบริมฝีปากตอบปล่อยให้อีกคนงัดเอาร่างของตัวเองมาคร่อมเขาไว้แทน

ไม่รู้มาก่อนว่าโล่ของราชาจะใจเสาะขนาดนี้

หา?!” คนโดนด่าตั้งตัวไม่ถูก ดวงตาที่เขารู้ดีว่ามันไม่ได้สะท้อนอะไรอีกต่อไปแล้วจ้องตรงมาที่ดวงตาของเขา และตรึงเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

“การตายของท่านหญิงลูน่าเฟรน่าไม่ใช่ความผิดของนาย”

“อิกนิส..”

“การที่น็อคบาดเจ็บก็ไม่ใช่ความผิดของนาย”

“…”

“การที่ฉันเป็นแบบนี้…”

“……”

“…เป็นผลจากการตัดสินใจของฉัน.. ไม่ใช่ความผิดของนาย”

กินเวลาอยู่นานทีเดียวกว่ากลาดิโอลัสจะควานหาเสียงของตัวเองพบ เขามองดวงตาสีขุ่นตรงหน้านิ่งปล่อยให้มันตรึงสายตาและความคิดของเขาไว้แบบนั้น

“..ดูออกง่ายขนาดนี้เชียว” เจ้าตัวยอมรับออกมาเองในที่สุด มือใหญ่ยกขึ้นนวดหัวตาด้วยอุ้งมือ เป็นเขาต่างหากที่หมดท่าเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ โดนมองออกเสียทะลุปรุโปร่ง

“คิดว่าคบกันมานานแค่ไหนแล้วล่ะ…” อิกนิสกระถดตัวขึ้นนั่งบนหน้าท้องแข็งแรง แต่ศีรษะก็ชนเอากับพื้นเตียงด้านบนจนต้องโน้มตัวกลับลงมาอีก พลางถอนหายใจเล็กน้อย

เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าไม่ใช่แค่น็อค สภาพจิตใจของกลาดิโอเองก็ย่ำแย่ไม่ต่างกันจากเหตุการณ์นั้น แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบทำให้เจ้าตัวแสดงมันออกมาในรูปแบบของการพาลพาโล เพราะแบบนั้นเขาจึงได้ไม่ห้ามบรรยากาศมาคุนั่นแต่แรก และยอมปล่อยให้มันดำเนินไปจนความอดทนสิ้นสุด

กลาดิโอลัสพาลและสูญเสียความมั่นใจ ทั้งในฐานะเพื่อนและราชองครักษ์ส่วนพระองค์ หน้าที่ของคนที่เป็นโล่นั้นคือการปกป้อง นี่จึงอาจเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่กลาดิโอได้สัมผัสกับเหตุการณ์ที่เกือบจะรั้งอะไรเอาไว้ไม่ได้เลย ภารกิจของพวกเขาคือการรับแหวนก็จริง แต่ร่างและลมหายใจรวยรินของน็อคทิสนั้นเหนือความคาดหมาย การได้สัมผัสเหตุการณ์นั้นด้วยสองมือตัวเองนั้นจึงทำให้ราชองครักษ์รู้สึกถดถอย

ความสำนึกในหน้าที่และความหงุดหงิดเสียเต็มประดาที่หน้าที่หลักของเขานั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ในหลายๆความหมายโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลยนั้นยิ่งทำให้คนใจร้อนยิ่งหงุดหงิดขึ้นอีก

แต่จากมุมมองของเขากลาดิโอก็ได้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถในแบบของเจ้าตัวแล้ว เพราะแบบนั้นเขาจึงอยากให้อีกคนเลิกโทษตัวเองและความพยายามปกป้องจนเกิดเหตุนั่นเสียที

นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่เขาเลือกจะแยกตู้นอนกับพวกน็อคทิสในคืนนี้

ร่างท่อนบนทาบลงบนแผ่นอกของราชองครักษ์ มือคืบไต่สัมผัสหน้าท้องแข็งแรงไล่เรื่อยลงไป “ฉันไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องมาทำเป็นทะนุถนอมไร้สาระ” แนวฟันงับเข้าที่ปลายคางอีกฝ่าย กัดเข้าที่สันกรามคมคร้ามอย่างมันเขี้ยว เขามองไม่เห็นแต่กับร่างกายที่ได้สัมผัสมานับครั้งไม่ถ้วนนี่แล้ว สายตาก็ไม่ได้จำเป็นกับเขาเสียเท่าไหร่

มือที่ไล่วนอยู่เหนือท้องน้อยจัดการกับกางเกงของอีกฝ่ายอย่างชำนาญแนบฝ่ามือเข้ากับความระอุร้อนเบื้องล่าง “ขนาดนี้แล้วถ้าฉันบอกว่า ‘ไม่’ ก็จะเลิกหรือไง..”

อิกนิสรู้สึกได้ผ่านทางร่างกายว่าคนที่คิดว่าเป็นฝ่ายคุมเกมนั้นก็รู้สึกไม่ต่างกับเขานักหรอก

“คิดว่าแค่เดินไปเอาออกที่ห้องน้ำก็จบเหรอ”

คนพูดแค่นหัวเราะในคอร่างท่อนล่างร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆเคลื่อนใบหน้าลงไปตามผิวกายนั่นอย่างคุ้นชิน “…ถ้านายไม่อยาก ฉันทำเองก็ได้

คนฟังเลิกคิ้วกับท่าทางมั่นอกมั่นใจนั่น เขาแตะหลังมือเข้ากับใบหน้าและเรือนผมชื้นเหงื่อที่เคลื่อนต่ำลงอย่างเบามือ แต่ก็โดนมือเรียวนั่นปัดออกด้วยท่าทางไม่พอใจ

…ท่าทางจะโกรธเอาเรื่องเลยแฮะ…

“อิกนิส..” ลองส่งเสียงเรียกแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของอีกคนสะดุดลงไปเท่าไหร่ เขาจึงจบที่ยันกายท่อนบนขึ้นมองดูดวงตาที่ถูกบังเอาไว้ด้วยแว่นสีเข้ม ปล่อยให้อีกคนปลดเข็มขัดและจัดการซับในของเขาลง

…แบบนี้ท่าจะแย่…

ราชองครักษ์คิดขึ้นมาในใจเมื่อริมฝีปากนั่นครอบครองแกนกายเขาเข้าโดยตรง อิกนิสดูจะทำอย่างที่ตัวเองได้เอ่ยปากเอาไว้จริงๆ เขาเลื่อนมือไปลูบสัมผัสใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเรื่อ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเอาแว่นทรงเฉี่ยวนั้นออก จ้องมองภาพเย้ายวนนั่นด้วยสายตาโหยกระหาย แผลฉกรรจ์ที่ได้เห็นเต็มๆนั้นทำให้รูสึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้ นึกใจหายขึ้นมาที่จะไม่ได้เห็นภาพตัวเองในดวงตานั้นอีก

ความต้องการที่โดนรัดไว้ด้วยโพรงปากทำเอาเขาต้องครางเสียงต่ำในคอ นึกอยากจะข้ามไปทำรุนแรงเสียเลยตอนนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละเขาคงมีอารมณ์ทะนุถนอมบ้าๆกับอีกคนที่ตาบอดอยู่จริงๆ

เหมือนจะรู้และต้องการจะแกล้งอยู่ในที อิกนิสเคลื่อนไหวช้าลงและเย้าแหย่แกนกายใหญ่โตนั้นหนักข้อ ดีเหมือนกันที่จากมุมนี้กลาดิโอคงไม่อาจมองเห็นได้ว่าสิ่งที่ชายเสื้อเชิ้ตสีเข้มปิดบังไว้นั้นกำลังมีปฏิกิริยาขนาดไหน

กลาดิโอลัสได้แต่มองภาพสุดยั่วยวนนั่นพลางระบายลมหายใจ หากในตอนที่อารมณ์กำลังจะถึงจุดอีกคนก็กลับหยุดง่ายๆเสียแบบนั้น

“ถุงยางล่ะ?”

“หา?”

“ฉันรู้ว่านายมี” อิกนิสพูดขึ้นเรียบๆ ลมหายใจสะดุดสั่นรินลดความต้องการที่กอบไว้ในอุ้งมือ

คนฟังได้แต่สบถในคออย่างหัวเสีย …จะมารอบคอบอะไรในเวลาแบบนี้กัน… แต่เมื่อดูจากความจริงจังนั่นแล้วถ้าไม่แกะส่งให้คงไม่ได้ไปไหนกันแน่ เขาที่เพิ่งโดนขัดตาทัพตบะแทบจะแตกอีกรอบเมื่ออีกคนสวมถุงยางนั่นให้กับเขาด้วยการใช้ฟันดึงลากมันลงมาจนสุดโคน
.
.
“พอแล้วดีกว่า… คนปลุกอารมณ์พูดขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ยันตัวขึ้นนั่งคุกเข่าเล่นเอาคนฟังจับใจความไม่ถูก

“…ฮะ?!”

“ก็พูดว่าจะให้หยุดก็บอกไม่ใช่เหรอ.. ฉันก็จะหยุดตรงนี้ไง”

คนรับคำตอบคิ้วกระตุกมองดูคนที่อยู่ในสภาพหลุดรุ่ยยิ่งกว่าใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก …นี่มันจงใจแกล้งกันชัดๆ…

ราชองครักษ์แค่นเสียงหัวเราะในคอ แต่เดิมเขาก็ไม่ใช่คนที่อดทนอะไรได้ดีนักอยู่แล้วยิ่งถูกทำแบบนี้ในสมองก็ประมวลผลได้แค่ทางเอาคืนเท่านั้น โดยไม่ส่งเสียงบอกกล่าวมือของเขาคว้าเอวคนที่นั่งนิ่งกระชากให้ร่างนั้นถลากลับขึ้นมาอยู่บนตัว มืออีกข้างรินของเหลวเย็นลื่นลงบนร่องสะโพกด้านหลัง

อิกนิสสะท้านขึ้นทั้งตัวด้วยความตกใจ ความต้องการที่ปิดเอาไว้ด้วยชายเสื้อเปิดเผยออกมาในที่สุด สะโพกสั่นระริกเมื่อสิ่งที่อีกคนราดลงมาไหลผ่านหลืบสะโพกอุ่นร้อนเบื้องหลัง “อ..อะไรน่ะ?”

ลมหายใจขาดเอาเรื่องถึงได้รู้ว่าอีกคนตกใจขนาดไหน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ “ยาปลุก..” โกหกหน้าด้านๆเพราะอยากเอาคืน ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่ออยล์ธรรมดาที่เขาแอบขโมยมาจากอิริสก็เท่านั้น

ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มอีก มือของเขาสอดเข้าระหว่างร่องหลืบเบื้องหลังช่วยชโลมของเหลวนั่นจนชุ่มไปถึงในร่าง แขนคู่นั้นผวากอดลำคอของเขา แนบแน่นเสียจนเนื้อผ้าเสียดสีกับใบหน้า “ไม่ใช่ว่าพอแล้วหรอกหรือไง” เขาเอ่ยเย้า

“นา.ยนั่นแ.หล..ะ”

ใบหูของเขาถูกกัด ท่าทางคนพูดคงจะแค้นเอาการ แต่เมื่อเขาขยี้นิ้วเข้ากับจุดอ่อนในช่องทาง สะโพกนั้นก็บิดกระตุกเหมือนจะขยับหนีจนร่างนั้นขึ้นมาขดอยู่บนหน้าตักเขาทั้งตัว

อิกนิสไม่รู้ว่าสิ่งที่กลาดิโอพูดจริงหรือเท็จแค่ไหน แต่ส่วนที่อีกคนสัมผัสอยู่ก็ร้อนขึ้นเสียจนเขากังวลว่ามันจะละลาย อยากจะท้วงถามหากริมฝีปากก็โดนครอบครองไว้อีกครั้ง นึกโมโหจนอยากกัดลิ้นช่ำชองนั่นให้ขาดในทีเดียว

กลาดิโอแทบไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ฮุบเอาอากาศหายใจ เสียงหอบเหนื่อยปะปนไปกับเสียงของเหลวในกาย ชัดเจนเสียจนใบหน้าร้อนผ่าว “กล.าดิโ.อ..ร..เร็ว” เขาเค้นเสียงพูดหลังจากผละจากริมฝีปากนั่นออกมาได้ในที่สุด

“ข้างหลังยังไม่ได้เลย..เดี๋ยวก็เจ็บหรอก” คนถูกถามตอบระหว่างไล้ริมฝีปากเข้ากับลำคอที่เชิดแอ่น สนุกกับการแกล้งอีกคนผ่านการขยับมือที่ด้านหลัง
อิกนิสไม่พอใจขึ้นมาอีก เขากัดริมฝีปากล่างแล้วปัดแขนข้างหนึ่งไปด้านหลังปัดป่ายมืออีกคนออกอย่างไร้หลักในขณะที่พยายามดึงสะโพกออก ความต้องการที่ไม่ได้รับการสัมผัสเสียทีนั้นลุกชันเสียดสีกับผิวท้องตึงแน่น

เขาบังคับเอามือของกลาดิโอลัสออกจากช่องทางจนได้ในที่สุด มือที่วางยึดกับแผ่นหลังนั่นเลื่อนขึ้นล็อกเอาศีรษะให้เคลื่อนเข้าหา คนตาบอดที่สูญเสียการควบคุมเริ่มกะระยะไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด จูบที่ดึงดันจึงกระแทกเข้ากับริมฝีปากของราชองครักษ์จนได้เลือดซ้ำอีกครั้ง

อิกนิสไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่ได้คิดจะหยุด เขาเบียดสะโพกแนบเข้าและหย่อนตัวลงบนแก่นกายเบื้องล่าง

ดวงตาสีน้ำตาลแดงเบิกขึ้นอย่างแปลกใจ รสเลือดเค็มปร่าซึมผ่านโพรงปาก เขาคว้าเอาทั้งมือที่อยู่ไม่เป็นหลักและสะโพกของอีกคนไว้ในคราวเดียวก่อนจะกระแทกกายสวนเข้าไปจนสุด

ช่องทางนั้นตอดรัดแน่นพร้อมๆกับผิวกายที่สะดุ้งสั่น คนในอุ้งมือไม่ได้ส่งเสียงไม่รู้ว่ากลั้นมันไว้ได้หรือตกใจจนไม่มีเสียงกันแน่ เอวสอบขยับขึ้นลงน้อยๆเพราะติดมือที่จับเอาไว้ แต่การท่าทางนั่นก็เหมือนจะกำลังออกคำสั่งให้เขารีบๆจัดการเข้าเสียที

“อย่าแกล้.ง ขยับ…” ราชเลขาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งสั่งกึ่งขอร้อง

“จริงๆวันนี้นายบอกว่า ‘จะทำเอง’ นี่นะ” กลาดิโอลัสทวนคำที่อีกคนเคยเอ่ยละมือออกจากสะโพกนั้นพลางเอนหลังลงกับเตียง

อิกนิสครางเสียงต่ำในคอเมื่อร่างใหญ่หนานั้นล้มตัวลงนอนเสียเฉยๆ ปล่อยให้เขาต้องสานต่อด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อขยับถอนกายศีรษะก็ปะทะเข้ากับพื้นเตียงด้านบนอีกครั้ง ทำให้เขาต้องย้ายมือที่ใช้ปกปิดตัวเองขึ้นไปดันค้ำกะระยะห่างแทน สะโพกนั้นเริ่มขยับขึ้นลงช้าๆ

ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำ แต่ครั้งนี้อิกนิสรู้สึกว่ามันน่าอายเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ดวงตาของเขามองไม่เห็นดังนั้นความรู้สึกด้านอื่นๆจึงเด่นชัดขึ้นมา ทั้งรูปร่างของสิ่งที่อยู่ในช่องทาง ทั้งเสียงการขยับไหว ทั้งเสียงของลมหายใจที่ไหลปนกัน ..กระทั่งสายตาที่ลามเลียไปบนร่างกายของเขานั่นก็ด้วย

“……” ราชเลขากลั้นเสียงด้วยการขบเม้มริมฝีปากตัวเอง นึกไม่ออกขึ้นมาว่าทุกครั้งที่กอดก่ายกันปกติเขาทำตัวแบบไหน มีแค่ความทรงจำทางร่างกาย กับดวงตาสีน้ำตาลแดงที่จับจ้องด้วยสายตาเหมือนวอนขออะไรบางอย่างจากเขาเท่านั้นที่แจ่มชัดเสียเหลือเกิน

…จะไม่ได้เห็นอีกแล้ว…

ความคิดนั้นแวบขึ้นมาก่อนที่เขาจะตัดสินใจโน้มกายลง สองแขนก่ายกอดร่างที่นอนทอดตัวอยู่ ใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ อิกนิสไม่รู้ตัวทว่ากลาดิโอลัสเห็นมันทั้งหมด รวมถึงได้ยินเสียงหอบพร่าที่ครวญเรียกชื่อเขาเพียงจางๆในคอด้วย

ร่างด้านใต้สบถลอดไรฟันช่วยไม่ได้ที่ความต้องการจะตื่นพองขึ้นอีกหลังจากอีกคนเปิดเผยขนาดนี้ต่อหน้าเขา

“กล..าดิโ.อ ทำไมมั..น?…” เสียงถามติดใบหูนั้นแทบจะกลายเป็นเสียงครวญสูงแทนเมื่อเขาใช้มือกอบกุมสะโพกนั่นไว้แล้วควบคุมการเคลื่อนไหวแทน

“เพราะนายนั่นแหละ..” ตอบสั้นๆไม่ได้ช่วยอธิบายอะไรได้แต่อย่างใด กลาดิโอบังคับสะโพกของอีกคนอยู่ไม่กี่ครั้งก่อนจะตัดสินใจพลิกร่างนั้นลงกับเตียงอีกรอบ โดยที่ไม่ได้ถอนกายออก

อิกนิสเกร็งตัวแน่นอย่างตกใจกับความกะทันหันแต่จูบเอาแต่ใจนั่นก็ไม่ยอมให้เขาท้วงถาม ความต้องการที่สั่นเทาถูกมือข้างหนึ่งกอบกุม มือของเขาครูดจิกไปตามแนวสะบักไหล่เมื่ออีกคนฝังเขี้ยวเข้าที่หลังกกหู แรงกระทั้นที่ไล่ต้อนดันเขามาจนถึงปลายทางในที่สุด ดีที่ริมฝีปากของอีกคนแนบเข้ามาพอดีเสียงสุดท้ายที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่จึงเหลือเพียงเสียงอื้ออึงในลำคอ

รู้สึกได้ว่าหยดของเหลวอุ่นๆแตะต้องผิวท้อง ส่วนที่เหลือคงเปรอะมืออีกคนเต็มไปหมด มันยากที่จะรู้เมื่อคนบนตัวยังไม่หยุดขยับกาย แต่ก็เป็นเพียงครู่เล็กๆเท่านั้น กลาดิโอลัสกระแทกกายหนักๆอีกไม่กี่ครั้งก่อนช่องทางเบื้องหลังของเขาจะร้อนวาบขึ้นมา

เสี้ยววินาทีนั้นทุกอย่างพลันนิ่งงัน มีเพียงเสียงจูบเบาๆที่เกิดขึ้นเมื่อราชองครักษ์ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง และเสียงหอบหายใจที่แยกกันไม่ออก

เสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้ๆศีรษะ กลาดิโอคงกำลังทำความสะอาดมืออย่างลวกๆเหมือนเคยตามด้วยร่างกายของเขา

“….”

อิกนิสไม่ได้พูดอะไรเขาปล่อยให้อีกคนเช็ดหน้าท้องของตัวเองอย่างว่าง่าย แต่เมื่ออีกคนจะถอนกายออก เขาก็ใช้ขาที่ยังคงค้างอยู่ที่เอวขึ้นกระหวัดรั้งมันไว้แทน

“อิกนิส?” กลาดิโอเรียกขึ้นอย่างงงๆ แต่คำตอบนั้นก็กลับคืนมาในเวลาอันสั้นเมื่ออีกคนเบียดสะโพกเข้าหาเขาอีกครั้งพร้อมๆกับแขนที่ยกขึ้นโอบรอบคอ

“ใช้ยาปลุกไม่ใช่หรือไง…รับผิดชอบจนกว่าฉันจะพอซะด้วยสิ”

ไม่มีบทสนทนาถัดจากนั้น มีเพียงเสียงออกอุทานเบาๆจากคนด้านล่าง และเสียงผิวเนื้อที่ขยับแนบชิดกัน

…ยอมแพ้เลยจริงๆ…

………………………………………..

ต้องเป็นคนแบบไหนถึงได้เขียนแต่งานแบบนี้ ใครเห็นอย่าเอ็ดไปนะคะ จุ๊ๆ O[—-[

[Drabble] Habit

Title : Habit
Pairing : Gladiolus/Ignis
Rate: PG-13

แต่แรกเริ่มที่รู้จักกันอิกนิสไม่ได้ผมยาวขนาดนี้ ผมสีน้ำตาลจางๆนั่นยาวแค่ระต้นคอเท่านั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันยาวเสียจนบังหลังคอไปหมด

………………………………………..

อิกนิสยกมือลูบหลังคอใต้เรือนผมที่ถูกเซตจนอยู่ทรง

…เป็นรอยอีกรึเปล่านะ?…

เขาไม่รู้ว่ากลาดิโอรู้หรือเปล่า แต่ตั้งแต่ครั้งแรกๆแล้ว เวลาที่มีอะไรกันกลาดิโอมักจะกัดเขาที่ต้นคอด้านหลัง และบางทีรอยฟันนั้นก็เห็นชัดเสียจนน่าอาย แรกๆเขาก็ได้แต่บอกคนรอบตัวว่า ‘ไม่ค่อยสบาย’ และหาเรื่องเอาผ้าพันคอมาพันมันไว้เสียจนมิด ต่อเมื่อผมเริ่มยาวแล้วมันจึงปิดบังรอยนั้นไว้ได้เองโดยธรรมชาติ

เขาเคยคิดว่าจะกลับไปไว้ผมทรงเดิมอีก แต่เมื่ออีกฝ่ายทำแบบนั้นบ่อยเข้า เขาจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยและปล่อยผมให้บังต้นคอเอาไว้แบบนี้จนถึงปัจจุบัน

………………………………………..

กลาดิโอลัสไม่ได้สักตั้งแต่วัยรุ่น อิกนิสรู้เพราะรู้จักกับอีกคนมานานเหลือเกิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อีกคนไม่เคยคิดจะสัก แต่หลังจากคบกันไม่นาน กลาดิโอก็นึกจะสักทั้งตัวเสียขึ้นมาเฉยๆ เขาไม่เข้าใจนัก เพียงแค่รู้สึกว่ามันก็เหมาะกับอีกคนดีเท่านั้น

………………………………………..

ราชองครักษ์นั่งหาวหวอด เขานั่งงอตัวอยู่บนเตียงของโรงแรมด้วยอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น มือใหญ่อ้อมไปเกาหลังตัวเองช่วงสะบักดังแกรกกราก …ท่าทางจะเป็นแผลนิดหน่อยแฮะ…

นานหลายวันแล้วที่พวกเขาเดินทางกันโดยหลังไม่ได้สัมผัสเตียงเลย เป็นธรรมดาที่จะใช้โอกาสอันดีนี้ฟื้นฟูร่างกายจนเต็มตื่น แม้จะเผลอทำให้อีกคนใช้ร่างกายหนักไปเมื่อคืนก็ตาม เขาหยุดมือที่แตะสำรวจแผลข่วนเป็นทางบนหลังของตัวเองแล้วเหลือบสายตาลงมองคนที่ยังหลับไม่ตื่น

เขาไม่รู้ว่าอิกนิสรู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้เขาเลือกรอยสักที่ปิดไปทั่วแผ่นหลังแบบนี้

เขานั่งขัดสมาธิ เท้าคางลงกับหน้าขาถือโอกาสพินิจมองใบหน้าที่ยังเหลือรอยเหนื่อยล้านั่นแล้วก็อยากขอโทษขึ้นมาหน่อยๆ แต่เวลาอยู่ด้วยกันบนเตียง เมื่อถึงตอนที่อีกคนควบคุมตัวเองไม่ได้อิกนิสมักจะครูดจิกหลังเขาแบบไม่ยั้งแรง จนมักจะทิ้งรอยเอาไว้ไม่มากก็น้อย

โดยส่วนตัวแล้วกลาดิโอไม่ได้เกลียดนิสัยนั้น ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำเพราะมันทำให้เขารู้ได้ว่าอีกคนรู้สึกร่วมไปด้วยมากขนาดไหน และสำหรับเขาเองรอยเล็กน้อยพวกนั้นก็ไม่ได้ให้ความรู้สึเตะตาแต่อย่างใด

เป็นอิกนิสเองที่ไม่ชอบ อันที่จริงอิกนิสก็ไม่ได้ชอบการทิ้งร่องรอยไว้บนตัวโดยไม่จำเป็นอยู่แล้ว เมื่อเจ้าตัวรู้เข้าว่าเป็นฝ่ายทิ้งรอยเหล่านั้นไว้แบบไม่รู้ตัวเอง เขาก็จะไม่มีโอกาสได้แตะต้องคุณราชเลขาอีกเลยจนกว่ารอยบนตัวเขาจะหายไปหรืออีกฝ่ายจะรู้สึกผิดน้อยลงนั่นล่ะ

แม้อิกนิสจะยังติดนิสัยเดิมอยู่ แต่หลังจากที่เขาสัก รอยถลอกรวมถึงรอยครูดต่างๆที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนก็สังเกตเห็นได้ยากขึ้น จนเจ้าตัวได้เลิกสังเกตไปเอง

…ก็คุ้มแล้วล่ะนะที่สักมา…

เขาคิดแบบนั้น ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวลงนอนกับเตียงอีกรอบ ซบใบหน้าเอาไออุ่นจากคนที่ยังหลับใหล

………………………………………..

[FFXV Gladiolus/Ignis] Used to

Final FantasyXV Fan Fiction

Title : Used to
Pairing : Gladiolus/Ignis
Rate : NC-17
Note : อ้างอิงเนื้อหาจากอนิเมภาค Brotherhood

ถ้าหากจะให้นิยามแล้วระหว่างพวกเขาจะเรียกว่า ‘ความคุ้นชิน’ ก็คงไม่ผิดนักหรอกมั้ง

ตั้งแต่เริ่มเกี่ยวข้องกับมกุฏราชกุมารแห่งลูซิสพวกเขาก็เห็นหน้าค่าตากันมาโดยตลอด

..ทีละน้อย..ทีละน้อย จากคนที่แค่เคยเห็นหน้า จนถึงความคุ้นชินที่เขาคิดไม่ออกว่าชีวิตที่ไม่มีอีกฝ่ายเข้ามาข้องเกี่ยวนั้นจะเป็นยังไง

………………………………………..

กลาดิโอลัสยืนหาวหวอดพิงกำแพง กำลังรอให้ใครบางคนเดินออกมา หลังจากน็อคทิสเข้าเรียนม.ปลายและขอย้ายไปใช้ชีวิตคนเดียวเขาก็ว่างขึ้นอักโข มากพอๆกับราชเลขาส่วนพระองค์ที่แวะเวียนไปหาแค่สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง

เสียงประตูดังแกร๊ก กลาดิโอ้หุบปากที่อ้ากว้างหันไปมองคนที่ตัวเองนัดไว้เดินออกมาจากการออกแรง ผมสีน้ำตาลซีดจนเกือบทองนั้นชุ่มเหงื่อ วันนี้อิกนิสดูหัวร้อนกว่าปกติ เดาได้ไม่ยากนักว่าคงทะเลาะอะไรบางอย่างกับน็อคทิสมา

เขายื่นมือออกไปจะเกลี่ยเอาปอยผมเปียกชื้นที่ละกรอบแว่นทรงเหลี่ยมของอีกคนออกแต่ก็ถูกเบี่ยงหน้าหลบ

“โทษทีช้านิดหน่อย…ขอไปล้างตัวก่อน”

อิกนิสพูดทิ้งท้ายแล้วหายตัวไปอีก คนตัวใหญ่กว่าได้แต่อือออตามอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเดินตามเข้าไปรอในห้องฝึกแทน กลาดิโอ้ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นเอนตัวลาดพิงกับกำแพงฟังเสียงน้ำฝักบัว เขาหลับตาลงพลางคิดว่าจะไปกินอะไรกันดี

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงจับพลัดจับผลูมาสนิทกับคนที่แทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยอย่างอิกนิสได้ จากมุมมองของเขาอิกนิสค่อนข้างจะเป็นคนแปลกอยู่เสียหน่อย จะความจริงจังจนเกินกว่าเหตุ แต่กลับรับมุกตลกของพวกเขาแล้วหัวเราะไปด้วยได้ดีกว่าที่คิดก็ดี หรือการดูแลน็อคทิสที่ลามมาจนถึงเขาไปด้วยนั่นก็ดี

..ถึงอาหารที่หมอนั่นทำจะอร่อยมากก็เถอะ

เสียงน้ำหยุดลง คนรอบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นยืนมองดูคนที่สวมเสื้อเชิ้ตเนี้ยบกริบกลับออกมาทั้งที่ผมยังหมาด “คิดได้รึยังว่าอยากกินอะไร?” อิกนิสถามขึ้นคว้าเอากุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางเดินไปด้วย

“อะไรก็ได้ที่นายอยากทำ” กลาดิโอ้ตอบกลั้วหัวเราะ ได้ยินเสียงถอนหายใจหน่ายๆเหมือนคิดไว้แล้ว

อิกนิสมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ชวนให้รู้สึกสบายใจ ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้น้ำหอมหรือโคโลญจ์อะไรเป็นพิเศษ ดวงตานิ่งเฉยใต้กรอบแว่นนั้นก็อีก แวบแรกเขาคิดว่ามันเป็นสีฟ้าแต่เมื่อเห็นมันบ่อยเข้ากลับคิดว่ามันอมเขียวมากกว่าที่คิด

…ก็แปลกดี…

คนถูกมองไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ ดูจะชินชาไปเสียแล้ว พวกเขาแวะซื้อของกันนิดหน่อยก่อนจะขับรถตรงไปที่บ้านของกลาดิโอ้ ที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีใครอยู่

สำหรับอิกนิสการอยู่กับคนสบายๆอย่างกลาดิโอ้ทำให้เขาไม่ต้องเหนื่อยคิดอะไร แถมยังพึ่งพาได้มากกว่าที่คิด เขาจึงเผลอปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตตามน็อคทิสเข้ามาโดยไม่รู้สึกตัว

วันนี้เองก็เช่นกัน ถึงจะบอกออกไปว่าเป็นเมนูใหม่ที่คิดว่าจะทำไปให้น็อคทิสกินคราวหน้า แต่เอาเข้าจริงแล้วเขาก็ซื้อวัตถุดิบที่กลาดิโอ้ชอบมาทำให้อยู่ดี แม้อีกคนจะไม่ทันได้สังเกตก็ตาม

คนตัวใหญ่ถือของเข้าไปให้ในบ้านระหว่างที่อีกคนเทียบจอดรถ เขาวางถุงลงบนเคาเตอร์ครัว รื้อเอาของที่อยู่ข้างในออกมาวางเรียงให้อย่างสบายอารมณ์ รอให้อิกนิสตามเข้ามาจัดการให้ทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่าง

กลิ่นเนื้อในกระทะทำให้เขาอดน้ำลายสอขึ้นมาไม่ไหวจริงๆ จะยื่นมือไปหยิบอีกคนก็คงนาบตะหลิวร้อนๆใส่มือให้เขาด้วยความเต็มใจแหงๆ “…วันนี้ดื่มเหล้ากันหน่อยมั้ย?”

คนถูกถามเลิกคิ้ว ไม่ได้ละสายตาขึ้นจากของที่ทำอยู่ตรงหน้า “ถ้ามีอยู่ก็เอาแล้วกัน..”

กลาดิโอ้ลุกพรวดหนีกลิ่นอาหารไปหยิบเอาทั้งเบียร์และไวน์ออกมาตั้งบนโต๊ะอาหาร วางเรียงจนแทบจะกลายเป็นปิรามิดขนาดย่อม

“ทำอะไรน่ะ?” คนถามถือจานอาหารเดินตามมาที่โต๊ะ หัวคิ้วมุ่นเข้ากับทาวเวอร์เบียร์กระป๋องตรงหน้า “ดื่มเยอะขนาดนั้นไม่ไหวหรอกนะ”

ว่าแบบนั้นแต่มือเพรียวยาวนั่นก็คว้าเอากระป๋องหนึ่งจากยอดมาเปิดดื่มแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับโต๊ะ “กินกันเถอะ”

………………………………………..

เรื่องสัพเพเหระระหว่างมื้ออาหารย้ายสารร่างของพวกเขากับบรรดาเบียร์กระป๋องมานั่งกองอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี พอเริ่มดื่มมากเข้าอิกนิสก็เริ่มบ่นกระปอดกระแปดถึงการทะเลาะกับน็อคทิสให้ฟังจนได้

กลาดิโอ้รับฟัง เขาไม่ได้แนะนำอะไรเป็นพิเศษเพียงแค่รับฟังอย่างเข้าใจ เพราะรู้ว่าอิกนิสไม่ได้ต้องการวิธีแก้ไขปัญหา ในบรรดาพวกเขาอิกนิสเป็นคนที่หาทางออกได้ดีที่สุดเสมออยู่แล้ว พอเหล้าเข้าปากมากเข้าร่างที่ทิ้งแนบกับโซฟาก็เริ่มจะเอน กลาดิโอ้หันไปมองอีกคนดึงเบียร์กระป๋องที่จวนจะหกแหล่มิหกแหล่ออกจากมือ “ระวังหก”

อิกนิสรู้สึกตัวขึ้นมา เขายันตัวขึ้นพึมพำขอโทษในคอใบหน้าดูง่วงงุนได้ที่ กลาดิโอ้ใช้มือช่วยถอดแว่นสายตานั้นออกให้ แต่อะไรบางอย่างก็ดลใจให้เขาสงสัยขึ้นมาว่าแว่นที่แนบติดอยู่กับใบหน้าของอีกคนตลอดนั่นจะสั้นซักเท่าไหร่

“เอาคืนมา”

“ยืมแป๊บนึงสิ” เขาว่าตอบ ลองสวมมันเข้าจริงๆแล้วก็ถอดออกแทบไม่ทัน “ไม่มีแว่นนี่นายมองเห็นอะไรบ้างเนี่ย?”

“…ไม่เห็น” อิกนิสหยีตาเพ่งมองหน้าคนขโมยแว่น เขาเอี้ยวคร่อมตัวอีกคนเอื้อมมือไปหาแว่นของตัวเอง ใบหน้าของพวกเขาห่างกันแค่คืบและใบหน้าคมสันนั้นก็หันมาพอดี

“ใกล้เท่านี้มองเห็นมั้ย?”

“เห็น… พอใจรึยัง?” คนตอบมุ่นหัวคิ้วมองตอบดวงตาสีน้ำตาลแดงนั่นในระยะประชิด อะไรบางอย่างทำให้เขาหงุดหงิดมากๆขึ้นมา

ริมฝีปากตรงหน้าก็ขยับพูดขึ้นอีก มันใกล้เสียจนรู้สึกได้ว่าลมหายใจนั้นไล้อยู่บนใบหน้าของเขา หากสิ่งนั้นก็ยังไม่รบกวนใจได้มากเท่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา “ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว..ไม่ลองจูบกันดูหน่อยเหรอ”

ลมหายใจสะดุดกึก ช่องว่างระหว่างพวกเขาชิดลงจนชวนให้สงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเคลื่อนเข้าหาก่อน ริมฝีปากชื้นเหล้าที่แนบเข้ามาเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์

กลาดิโอ้ไม่ได้หลับตาลง เขามองดูใบหน้ากระอักกระอ่วนแต่ไม่ใช่ในเชิงปฏิเสธเสียทีเดียวนั้นแล้วสวมแว่นกลับคืนให้อีกฝ่ายทั้งๆที่ไม่ได้ละริมฝีปากออก ขนตาสีอ่อนทิ้งเงาลงบนแก้มที่ซับสีเข้มขึ้น

อิกนิสกำลังรู้สึกเสียศูนย์ และกลาดิโอ้ก็รับรู้ได้ อีกฝ่ายมักเป็นแบบนี้เสมอเมื่อสิ่งที่คาดการณ์ไว้ไม่เป็นไปตามที่คิด ส่วนเขากำลังรู้สึกสนุกกับความกระอักกระอ่วนของใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่เสมอนั้น

…และพอใจมากขึ้นอีกเมื่อคิดว่าจะมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้…

ริมฝีปากแนบชิดมากขึ้น เขาผละริมฝีปากให้อีกคนได้ตะครุบเอาอากาศหายใจแล้วย้ำสัมผัสซ้ำลงไปอีก ปลายลิ้นเหลวดันเข้าในโพรงปากที่เผยออ้า ร่างช่วงบนของอิกนิสสะดุ้งวาบแผ่นอกของเขาจึงแนบสีเข้ากับร่างของคนตรงหน้าอีกโดยไม่รู้ตัว เมื่อดวงตาของเขาปรือขึ้นอีกทีท้ายทอยก็ถูกมือหยาบใหญ่นั้นล็อกเอาไว้เสียแล้ว

…อะไร…

แอลกอฮอล์ทำให้สมองประมวลผลอะไรได้น้อยกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีกแม้จะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังเมามากมายอะไรก็ตาม ลมหายใจพรูออกจากริมฝีปาก ปลายลิ้นของตัวเองกำลังถูกลิ้นของอีกคนฉกรัด เขาไม่ได้ร้องไห้แต่รู้สึกเหมือนมีน้ำตามากองเสียจนภาพตรงหน้าพร่ามัว เขายกมือขึ้นคั่นระหว่างตนกับแผงอกที่แนบชิดเข้ามา …แย่แล้ว…

กลาดิโอ้เก็บเอารสสัมผัสนั้นอย่างฉวยโอกาส …มากกว่านี้ อยากจะเห็นมากกว่านี้…

“มากกว่านี้..ได้มั้ย?”

หนวกหู…

อิกนิสพูดสวนและตระหนักได้ทันทีว่านั่นเป็นคำตอบที่ผิดพลาดอย่างมากเมื่อร่างถูกดึงขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนหน้าขาแข็งแรง

มือเรียวเกร็งแน่นดันค้ำอยู่บนไหล่กว้าง กลาดิโอไม่ได้ตีความว่านั่นเป็นการปฏิเสธ อิกนิสที่เขารู้จักนั้นอาจมีท่าทีปฏิเสธจำนวนมาก แต่นี่ไม่ใช่หนึ่งในท่าทางเหล่านั้น เขาล้วงมือเข้าใต้ชายเสื้อเชิ้ตที่เคยเรียบกริบลูบสัมผัสผิวตึงแน่นอย่างจาบจ้วง

ถึงตรงนี้แล้วราชเลขาส่วนพระองค์ก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา เขาไม่รู้ว่า ‘มากกว่านี้’ ของคนตรงหน้าหมายถึงอะไร รวมถึงไม่รู้ว่ามากถึงขั้นไหน เขาคิดว่าตัวเองควรจะปฏิเสธก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปไกลมากกว่านี้ แต่อะไรบางอย่างก็บอกเขาว่าไม่

ฐานคอถูกขบกัด เสียงครางต่ำหลุดออกจำคอที่แอ่นเชิด รู้สึกว่าส่วนหน้าอกของตนนั้นเย็นวาบ เมื่อลืมตามองดีๆถึงได้รู้ว่ากระดุมเสื้อนั้นถูกปลดออกจนหมดแล้วซ้ำร่างของเขายังถูกดันให้เอนลงเสียจนต้องทิ้งตัวกับโซฟา “ย..อย่า”

เรียวนิ้วจิกขยุ้มเรือนผมสีเข้มของคนที่ซุกแนบใบหน้าต่ำลงเรื่อยๆเหมือนจะบอกให้หยุด เสียงเหล็กกระทบดังขึ้นเบาๆจากเบื้องล่างใบหน้าเขาก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นไปอีก

“..ไม่.. …..กลาดิโอ้”

เจ้าของชื่อฝังรอยฟันเข้าที่สอบเอว อีกคนสะดุ้งจนแผ่นหลังแอ่นคอด ขอบกางเกงที่กำลังถูกร่นลงนั้นทำให้อะไรบางอย่างชัดเจนมากขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองตอบคนปฏิเสธด้วยคำถาม “หยุดตอนนี้จะดีแล้วเหรอ?…”

คำพูดถูกเว้นช่วง มือละออกจากขอบกางเกงมายังสิ่งที่กำลังมีปฏิกิริยาชัดเจนที่เบื้องหน้า “..ทั้งฉัน …แล้วก็นาย?”

อะไรบางอย่างในดวงตาสีน้ำตาลแดงนั่นทำให้คนมองต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น “ถ้างั้นก็..รีบๆเข้.า”

เหมือนได้รับอนุญาตกลาดิโอ้กระชากดึงทั้งซับในและกางเกงที่ขวางสายตานั้นไปกองทิ้งไว้ที่ข้อเข่า สะโพกสอบถูกรั้งขึ้นจนบั้นท้ายแนบติดกับหน้าขาของคนที่ขยับขึ้นมาคร่อมอยู่ด้านบน แม้จะมีเสื้อผ้าปกปิดไว้แต่ความแข็งขืนนั้นก็ดุนดันชัดเจนจนใบหน้าร้อนผ่าว

อิกนิสกระถดตัวหนี แต่มือที่ล็อกอยู่ที่เอวไม่ยอมให้ทำแบบนั้น การเสียดสีโดยเปล่าประโยชน์นั้นจึงดูจะเป็นแค่การทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมากขึ้นไปอีกเสียแทน

เขาเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นอีกเมื่อใบหน้าคมสันนั้นโน้มลงมาด้วยสีหน้ายียวน ขาของเขาโดนดันเสียจนแทบจะแนบติดแผ่นอก ใบหน้ารู้สึกร้อนขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองโดนบังคับให้อยู่ในท่วงท่าที่น่าอายขนาดไหน

ทันทีที่มือหยาบละจากแผ่นท้องไปสัมผัสแกนกายอิกนิสก็หลุดเสียงครางขึ้นในคอ คนด้านบนดูจะพึงใจขึ้นอีก ก่อนจะลูบสำรวจมันอย่างย่ามใจ

“รู้สึกไวทีเดียวนะ” กลาดิโอ้หยอก แน่นอนว่าต้องการเห็นสีหน้าทำอะไรไม่ถูกของอีกคนมากกว่านี้ แต่เขาอาจจะลืมคิดไปว่าอิกนิสไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆไปได้โดยตลอด

ราชเลขาใช้เท้าถีบเข้าที่หน้าท้องของอีกคนดังอัก ไม่แรงนักแต่ก็มากพอที่จะทำให้ร่างที่คร่อมแนบอยู่นั้นต้องผงะตัวออกไปนั่งกุมท้อง คนถีบสลัดกางเกงที่กองอยู่ที่ข้อเข่าทิ้งไปอย่างรำคาญ ปลายเท้าเปลือยเปล่าข้างหนึ่งยันไหล่อีกคนไว้ให้นั่งขึ้นหลังตรง ในขณะที่อีกข้างลากจากแผ่นอกไล่เรื่อยลงมายังขอบกางเกงและส่วนกลางกาย

“เลิกพูดเหมือนมีแค่ฉันที่รู้สึกอยู่คนเดียวได้แล้ว..” นิ้วเท้าเกี่ยวเอาทั้งขอบกางเกงและซับในของคนตรงหน้าลงในคราวเดียว รู้สึกยอมรับไม่ได้ที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างขึ้นมา เท้าของเขาสัมผัสแก่นกายนั้นอย่างตั้งใจ ความชื้นระอุนั้นทำให้รู้ได้ไม่ยากเลยว่าอีกคนก็ไม่ได้ต่างกับเขานักหรอก

กลาดิโอ้มองดูคนที่กลับมาตั้งตัวติดได้อย่างรวดเร็วด้วยสีหน้ากึ่งทึ่งกึ่งแปลกใจ มือที่คาอยู่บนท่อนขาเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายถูกจับไปกอบกุมส่วนสำคัญที่ยังไม่ได้รับการปลอบประโลมเสียทีนั่น

“จะทำอะไรก็รีบๆทำซักที..”

คนที่เหลือแค่เชิ้ตบางๆติดตัวนั่นพูดขึ้นอีก คนฟังนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าอะไรดลใจให้อีกคนกล้าหาญขึ้นมา …หรือจริงๆแล้วจะไม่เข้าใจกันนะ?…

จะอะไรก็ช่างตอนนี้เส้นความยับยั้งบางๆของเขาได้ขาดลงแล้วเพราะคำพูดนั่น เขาถอดเสื้อของตัวเองทิ้ง จับแยกขาเปลือยเปล่าที่ซุกซนอยู่บนร่าง จับให้มันกระหวัดอ้อมเอวของเขา แนบชิดมากพอที่แกนกายของพวกเขาจะเสียดสีกัน ร่างท่อนบนเอี้ยวคร่อมขึ้นเหนือตัวอีกฝ่าย ดวงตาของพวกเขาสบกัน

“จะมาเสียใจกับสิ่งที่พูดทีหลังไม่ได้ล่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลแดงวาวโรจน์ ไม่รู้ว่าเจ้าของดวงตาสีเขียวที่ดูงุนงงนั่นเข้าใจมันมากแค่ไหน แต่เขาไม่ได้คิดจะรอคำตอบแล้ว เขางับใบหูนั้นด้วยปลายฟัน ก่อนจะบดจูบกับริมฝีปากที่เผยออ้าอย่างโหยกระหาย

คราวนี้เป็นเขาบ้างที่เป็นฝ่ายบังคับให้มือนั้นมาสัมผัสส่วนสำคัญของเขาทั้งคู่ ของเหลวเปียกลื่นไหลเปื้อน กลาดิโอ้เคยคิดไว้ว่าจะไม่ทำจนถึงที่สุด แต่ตอนนี้กลับไม่เข้าใจว่าตัวเองมีความคิดบ้าๆนั่นขึ้นมาได้ยังไง โดยที่ไม่ยอมละจูบออก เขาใช้มือที่เปรอะไปด้วยของเหลวเลื่อนลงไปแตะสัมผัสช่องทางอุ่นร้อน อิกนิสมุ่นหัวคิ้ว เอวของเขาบิดขึ้นน้อยๆแต่ไม่อาจทำอะไรได้มากเมื่อโดนทิ้งน้ำหนักใส่แถมยังโดนบังคับมือเอาไว้อีก

เป็นการตัดสินใจที่ไม่ถูกนักอีกครั้งของราชเลขา เมื่อนิ้วที่คลึงวนอยู่ที่ปากทางนั้นล่วงเข้ามาในกาย ร่างของเขาสั่นขึ้นมาจนริมฝีปากที่ประกบกันอยู่นั้นผละออกจากกัน “ฮะ…ย..หยุดก่อน”

“บอกให้ ‘รีบๆ’ ไม่ใช่เหรอ?” คนด้านบนทวนคำด้วยเสียงหอบพร่า ช่องทางอุ่นนุ่มที่ตอดรัดนิ้วของเขาอยู่นั้นชวนให้นึกอยากแทนที่มันด้วยสิ่งอื่นเสียตอนนี้เลย

แกนกายที่อยู่ในอุ้งมือเพรียวยาวนั้นถูกบีบแน่นขึ้นเมื่อเขาดุนดันช่องทางนั้นด้วยนิ้ว ยิ่งลึกขึ้นลมหายใจของคนด้านล่างก็ยิ่งสะดุดขาด จนถึงตอนนี้อิกนิสก็ยังไม่ได้ปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาด ดวงตาชื้นน้ำที่แฝงแววโกรธเคืองเล็กน้อยเพราะถูกขัดใจนั้นเหมือนกำลังเรียกร้องให้เขาก้มลงไปแนบจูบซ้ำๆ คราวนี้ฝ่ายนั้นตอบรับจูบของเขาเป็นอย่างดี ลิ้นอุ่นเหลวกระหวัดตอบ ลำคอนั้นเชิดแอ่น เปลี่ยนริมฝีปากให้อยู่ในมุมที่พวกเขาะรู้สึกถึงกันได้มากขึ้น

ผิวหนังอุ่นนุ่มนั้นเริ่มเปียกลื่นจากของเหลวที่นิ้วมือของเขา กลาดิโอ้พบจุดอ่อนไหวในช่องทางนั้นจากการสั่นกระตุกและเสียงคราวนุ่มหูที่ลอดออกจากลำคอ เขาไม่แน่ใจนักว่าช่องทางนั้นพร้อมแค่ไหน เพราะเอาเข้าจริงสำหรับเขาเองนี่ก็นับได้ว่าเป็นครั้งแรกกับผู้ชายด้วยกัน

…แต่มันอดรนทนไม่ไหว…

มือหยาบถอนออกช้อนเอวสอบให้ลอยขึ้นเหนือเบาะโซฟา อิกนิสมองตอบด้วยสายตาพร่าเบลอปนงุนงง ก่อนที่แรงกดจากเบื้องหลังจะทำให้สติสัมปะชัญญะแจ่มชัดขึ้น มือของเขาละไปยังแกนกายใหญ่โตที่กำลังจ่ออยู่ที่ปากทางสั่นเกร็ง “ไม่..ไม่ไหวหรอ.ก”

เสียงห้ามเครือสั่นแค่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองปลุกเร้าอยู่ในมือเมื่อครู่จะรุกเข้ามาในส่วนของร่างกายที่แม้แต่แค่นิ้วมือเข้ามายังสั่นเกร็งเสียขนาดนั้น ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ

เป็นกลาดิโอ้บ้างที่ส่งเสียงขัดใจในลำคอ “..มาห้ามตอนนี้ ..ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึไง..” ใบหน้าของเขาแนบลงกับลาดไหล่นั่น พรูลมหายใจหอบปะทะผิว สะโพกของเขาแนบลงไปอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทีเหมือนกำลังขออนุญาต

อิกนิสฟังเสียงตัดพ้อกับท่าทางนั่นแล้วก็ต้องชั่งใจอย่างหนัก ก่อนสองมือจะช้อนเอาใบหน้าคมคร้ามที่ซุกแนบอยู่กับไหล่นั้นขึ้น “..นายนี่มันหนวกหูจริงๆ”

แว่วเสียงด่าพร้อมกับการถูกกัดที่ปลายคาง ดวงตาสีน้ำตาลแดงเบิกขึ้นอย่างงงๆ รู้สึกได้ว่าสะโพกที่กำลังกระถดหนีในทีแรกนั้นกำลังเป็นฝ่ายเบียดเข้าหาเขาเสียเอง เขาไม่ได้เอ่ยถามเพราะฝ่ายนั้นไม่อนุญาต ริมฝีปากถูกเบียดย้ำเข้ามา มันดูเงอะเงิ่นแต่ก็ปลุกเร้าเขาได้มาก เขาดันกายแทรกเข้าไปในช่องทางนั้น คิ้วของคนตรงหน้ามุ่นขมวดหนัก เพราะร่างกายเชื่อมถึงกันเขาถึงรู้สึกได้ชัดว่าอิกนิสพยายามอย่างมากที่จะผ่อนคลาย มือที่ล็อกใบหน้าเขาอยู่ตกร่วง มันจิกเบาะจนขึ้นข้อขาว มองดูท่าทางนั้นแล้วเขาก็ได้แต่พึมพำขอโทษในใจก่อนจะแทรกกายเข้าไปจนสุดในทีเดียว

เสียงกรีดร้องในคอดังไม่เป็นภาษา แกนกายที่เจียนระเบิดนั้นถะถั่งของเหลวสีขุ่นออกมาจนเปื้อนไปทั่วหน้าท้อง ผิวสะท้านสั่น ใบหน้าก่ำแดงนั้นหอบเหนื่อย เปลือกตาแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว

“นี่.. อย่าเพิ่งหลับสิ” กลาดิโอ้ทัก น้ำเสียงนั้นขาดพร่าพอกันจากแรงบีบรัด เขาใช้มือค่อยๆกระตุ้นความต้องการที่สงบลงแล้วนั้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งอย่างใจเย็น

“อึก..” อิกนิสยกหลังมือขึ้นปิดปาก “ข..ขอพั..กก่อน.. ฮะ” เสียงห้ามอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ใจความ

“..เฮ้ๆ จะให้ฉันค้างอยู่แบบนี้เหรอ..” เค้นเสียงลอดลำคอ สะโพกค่อยๆเคลื่อนออกเหมือนต้องการให้อีกคนรู้ว่าแค่นี้เขาก็แทบคลั่งแล้ว

คนถูกถามไม่ยอมตอบเขาเบือนหน้าหนี ข่มกลั้นเสียงด้วยการกัดหลังมือตัวเอง แต่มันก็ลอดออกมาอีกจนได้เมื่อจุดอ่อนไหวในร่างกายถูกสัมผัสโดยไม่ได้ยินยอม ลมหายใจหอบพร่า ความต้องการที่มอดลงไปแล้วมวนขึ้นในท้องน้อยอีกครั้งอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะเป็นถูกกระตุ้นในช่วงที่ร่างกายกำลังไวต่อสัมผัส เขาพยายามหาเหตุผลมารองรับหรือไม่ก็พยายามคิดไปถึงอย่างอื่นเมื่อคนบนกายนั้นดูจะพยายามสร้างเรื่องให้เขาเสียเหลือเกิน

จากท่าทางบ่ายเบี่ยงที่อีกคนเริ่มแสดงออก แน่นอนว่ากลาดิโอ้ไม่มีทางปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น เวลานี้ที่ควรจะมีแค่เขาที่ได้ครอบครอง สิ่งที่จะอยู่ในหัวของอิกนิสได้ก็ควรจะมีแต่เรื่องของเขาเท่านั้น เขาถอนสะโพกออกและฝังร่างกลับเข้าไปใหม่ จงใจให้กระเทือนจุดที่อีกคนจะรู้สึกได้มากที่สุด

“มองหน้าฉันหน่อยสิ…” เขาเอ่ยขึ้นทั้งๆที่ไม่ได้หยุดขยับกาย พลางดึงมือที่อีกคนขบเสียจนเป็นรอยจ้ำเลือดออก “..นายอยู่กับฉัน ..ตอนนี้”

“…อ๊ะ” เสียงเครือดังขึ้นเมื่อไม่มีอะไรจะนำมากั้นเสียงได้อีก อีกคนดูจะเอาแต่ได้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกในวันนี้ เขาจ้องคนเอาแต่ใจตอบด้วยสีหน้าไม่ใคร่พอใจนัก แต่กลับได้รับรอยยิ้มพอใจเหมือนเด็กๆเล่นเอาเขาทำสีหน้าไม่ถูกอีกรอบ

“….พูดอะไรงี่เง่า” เขาพูดได้เพียงแค่นั้นเพราะการกระแทกที่ลึกเข้ามานั้นเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นเสียงน่าอายที่เขาจะไม่ยอมให้มันดังขึ้นอีก ได้แค่คาดโทษคนข้างบนผ่านทางสายตา

…ไม่เข้าใจว่าทำให้เขาไม่พอใจได้นี่มันน่าดีใจตรงไหน?…

ใบหน้าด้านบนใกล้เข้ามากว่าทีแรก คางของเขาถูกงับกัด ตามด้วยใบหู ลำคอ และแอ่งชีพจร ความคับแน่นที่กระแทกกระทั้นอยู่ในช่องทางทำให้เขารู้ว่ามันจวนเจียนเต็มที อิกนิสไล้ปลายนิ้วตามแผ่นอกตึงแน่นลากลงไปยังท้องน้อยเหมือนจะเร่งเร้าให้อีกคนรู้ว่าเขาเองก็เช่นกัน

กลาดิโอ้เร่งเร้าความต้องการที่ตัวเองกอบกุมไว้ในมือไปพร้อมๆกับความเร็วของสะโพกที่กระชั้นขึ้น ขาเปลือยเปล่านั่นกระหวัดเกี่ยวสะโพกเขาไว้แน่น เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าหยดเหงื่อบนผิวนั่นเป็นของเขาหรืออีกคนกันแน่

เมื่อความต้องการใกล้จะถึงจุดเสียงครางที่ถูกกลั้นไว้ก็ถูกปล่อยให้ลอดออกมา อิกนิสดึงใบหน้าของเขาขึ้นไปจูบอีกครั้งด้วยตัวเองคล้ายทำไปโดยไม่รู้สึกตัว สะโพกนั้นเบียดจนแกนกายของเขาแทรกเข้าไปลึก ตอดรัดเอาไว้แน่นจนเขาเองก็ทนไม่ไหว เขาบีบรัดแกนกายอีกนด้วยมือข้างหนึ่ง และประคองสะโพกนั้นไว้ด้วยมืออีกข้างบังคับให้รองรับของเหลวที่ปล่อยออกมาเสียจนเต็มตื้น

ท้องน้อยของร่างเบื้องใต้กระตุกสั่น เสียงครางสูงดังเครือผ่านริมฝีปากที่ยังไม่ได้แยกออกจากกัน ก่อนที่มือหยาบใหญ่จะเปรอะไปด้วยสิ่งที่ถูกปล่อยออกมาในที่สุดเช่นกัน

อิกนิสพรูลมหายใจ คราวนี้เขาแทบประคองสติเอาไว้ไม่ได้จริงๆแล้ว ได้แต่ปล่อยให้อีกคนจัดการที่เหลือเอาตามใจ ปฏิกิริยาเดียวที่เขาจำได้ว่าตัวเองทำลงไปคือร่างกายที่สั่นเทิ้มขึ้นน้อยๆเมื่อสิ่งที่ฝังอยู่ละออกไปจากช่องทาง

………………………………………..

กลาดิโอ้เก็บกวาดทุกอย่างอย่างรวดเร็ว หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่ชวนน่าสงสัยเหลืออยู่ก็หอบเอาร่างของคนกึ่งหลับกึ่งตื่นไปยังห้องของตัวเองเช็ดทำความสะอาดส่วนที่ทำได้ให้

พอออกแรงฤทธิ์เหล้าก็ซาลง เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเมื่อตื่นมาอีกทีทุกอย่างจะยังเป็นเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า เขาไม่ได้เสียใจกับเรื่องที่ทำลงไป..แค่ไม่แน่ใจก็เท่านั้น

สำหรับเขาเรื่องนั้นอาจไม่เป็นปัญหาเท่าอิกนิสที่ดูจะต้องการทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เสมอ หากเข้าหน้ากันไม่ติดอิกนิสคงกระอักกระอ่วนน่าดู.. ซึ่งเขาก็ไม่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่คิดหน้าคิดหลังนี่มาทำให้อะไรที่มีมาโดยตลอดนั่นเปลี่ยนไป

แค่คิดก็ชวนกลัดกลุ้ม แต่ดูจะดำเนินไปได้ไม่นานนักเมื่อคนบนเตียงครางอือ หัวคิ้วนั่นมุ่นหนักก่อนเปลือกตาจะเปิดขึ้น

ดวงตาสีเขียวเพ่งมองหน้าเขา คำแรกที่หลุดออกมาไม่ใช่คำปรามาสแต่เป็นเสียงขุ่นๆที่ถามว่า “กี่โมงแล้ว?…

“ต..ตีสอง”

หัวคิ้วนั่นมุ่นหนักขึ้นอีก มองดูผ้าห่มบนตัว มองดูเสื้อผ้าที่เขาพาดไว้อย่างเรียบร้อยพอควรที่เก้าอี้ มองแว่นตาที่วางไว้บนหัวเตียงแล้วพูดขึ้นอีก “แล้วนายไม่นอนหรือไง?”

“…เดี๋ยวไปนอนห้องอื่น” ไม่รู้ว่าเขาตอบผิดตรงไหนหัวคิ้วนั่นถึงได้ไม่คลายเลยซักนิด อิกนิสพลิกตัวนอนหงาย คงรู้สึกแล้วว่าใต้ผ้าห่มนั้นร่างกายตัวเองไม่มีเสื้อผ้าซักชิ้นติดอยู่ถึงได้ส่งเสียงครางต่ำๆอย่างไม่พอใจในคอ

“แสบตา…” ดวงตาสีเขียวเพ่งมองไฟบนเพดานก่อนจะขยับตัวไปด้านข้างเว้นที่มากพอบนเตียง “ปิดไฟแล้วนอนได้แล้ว..”

คนฟังงงขึ้นมาจึงได้แต่นั่งนิ่งตาไม่กระพริบอยู่ที่เดิม

“ฉันพูดอะไรเข้าใจยากนักรึไง?” พูดเสร็จก็พลิกตัวนอนต่อเหมือนไม่อยากจะเสวนาเพิ่มเติม คนตัวโตได้แต่ปิดไฟแล้วก้าวขึ้นไปนอนที่ที่ว่างบนเตียง

“อิกนิส..”

“มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ ฉันมีประชุมตอนเช้า” คนพูดหาวหวอดฝังใบหน้ากับผ้าห่ม

“..พรุ่งนี้ฉันว่าจะแวะไปหาน็อค”

“ขับไปส่งฉันก่อน…”

เขาไม่ได้ว่าอะไรต่อรู้สึกสบายใจขึ้นมาแบบแปลกๆกับบทสนทนาเรียบง่ายนั่น ..บางทีอิกนิสก็ปล่อยให้อะไรผ่านไปได้ง่ายจนเขาคาดไม่ถึงจริงๆ

“มีใครเคยบอกมั้ยนะว่านายประหลาด?”

“นายไง”

กลาดิโอ้หัวเราะในคอกับคำตอบนั้นปล่อยให้อีกคนนอนต่อไปตามใจ

…พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนั่นแหละ…

=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

เริ่มแบกาวๆและจบแบบกาวๆ ความบาปช่างน่าอาย อ่านแล้วอย่าเอ็ดไปนะคะ จุ๊ๆ O[—–[

[tag]คำถามต่อออริจินัลคาร์แรคเตอร์2

ori98

คำถามต่อออริจินัลคาร์แรคเตอร์แบบละเอียดสุดๆ (ฉบับแปลไทย)

แหล่งที่มาจากภาษาอังกฤษ – Link

(ผู้แปลเพียงนำมาแปลเป็นภาษาไทยเท่านั้น)

1. ชื่อเต็มของออริคืออะไร? ทำไมถึงเลือกชื่อนี้ มีความหมายอะไรไหม?
– Andrzej Bale Hern (แปลว่าฉลาดหลักแหลม เป็นชื่อของทางเผ่ายิปซี จริงๆก็เป็นคนยิปซีจริงๆ)

2. มีคำนำหน้าชื่อหรือยศอะไรไหม? ทำไมถึงได้มี?
– ไม่มี

3. ออริมีวัยเด็กที่ดีไหม? ความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กคืออะไร? แล้วอะไรคือความทรงจำที่เลวร้าย?
– จำได้ว่าร่อนเร่ไปมากับทั้งครอบครัวบ่อยๆ

4. มีความสัมพันธ์ยังไงกับพ่อแม่? อะไรคือความทรงจำดีๆ และไม่ดีกับพ่อแม่? ออริรู้จักพ่อแม่ของตัวเองทั้งคู่ไหม
– รู้จักพ่อกับแม่ทั้งคู่สนิทกันดี ปัจจุบันก็ยังติดต่อกันอยู่เนืองๆ

5. ออริมีพี่น้องไหม? ชื่ออะไร? มีความสัมพันธ์กันยังไง? ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องตั้งแต่เด็กจนโตเปลี่ยนแปลงไปไหม
– มีน้องสาวสองคนเป็นฝาแฝด รักมาก หวงมาก โอ๋มาก

6. ออริเป็นยังไงตอนอยู่ที่โรงเรียน? สนุกกับชีวิตในโรงเรียนไหม? เรียนจบไหม? เรียนถึงระดับไหน? ชอบเรียนวิชาอะไร? ไม่ชอบวิชาอะไร?
– เรียนถึงมหาวิทยาลัยแต่ก็เหมือนจะเรียนทางไกลมากกว่า ไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนหรืออะไร

7. ตอนเด็กมีเพื่อนเยอะไหม? แล้วมีเพื่อนที่คบกันตั้งแต่เด็กจนโตไหม?
– เพื่อนเยอะมาก เมคเฟรนด์กับเขาไปทั่ว เรียกว่าเป็นคนทั่วถึง

8. ตอนเด็กเคยเลี้ยงสัตว์ไหม? ตอนโตเลี้ยงไหม? ชอบสัตว์รึเปล่า?
– ไม่เคยเลี้ยงอะไรเลย ตอนนี้เลี้ยงปลาทองอยู่สองตัวเพราะคุณหมอช้อนให้.///.

9. สัตว์เชื่องกับออริไหม? ออริเข้ากับสัตว์ได้ดีไหม?
– ว่ายไปมาดุ๊กดิ๊กถึงเวลาอาหารก็ว่ายมาโหม่งโหล

10. ออริชอบเด็กไหม? เด็กชอบออริไหม? ออริมีลูกหรืออยากมีลูกไหม? ออริจะเป็นพ่อแม่แบบไหน? หรือเป็นพ่อแม่อุปถัมป์/พี่เลี้ยงเด็ก/อื่นๆ แบบไหน?
– ชอบ รู้สึกสนุกที่ได้เล่นกับเด็ก แต่ก็ไม่ได้อยากมีลูกหรืออะไร

11. ออริมีความต้องการทางอาหารเป็นพิเศษไหม? เป็นคนไม่กินเนื้อสัตว์รึเปล่า? เป็นมังสวิรัติ? แพ้อะไรไหม?
– กินได้ทุกอย่าง ชอบอาหารแปลกๆที่อร่อยๆ

12. ชอบอาหารอะไร?
– ช่วงนี้ชอบอาหารอิตาเลียน

13. ชอบอาหารอะไรน้อยที่สุด?
– ไม่มีเป็นพิเศษ

14. มีความทรงจำเฉพาะกับอาหาร/ร้านอาหาร/มื้ออาหารอะไรไหม?
– มีมื้อเล็กๆที่ไปกินกับคุณหมอ

15. ทำอาหารเก่งไหม? สนุกกับการทำอาหารไหม? คนอื่นคิดว่าการทำอาหารของออริเป็นยังไง?
– เก่ง ชอบทำอาหาร ทำได้หลายๆอย่าง

16. ออริสะสมอะไรไหม? แล้วทำอะไรกับของสะสมนั้นบ้าง? เก็บของสะสมไว้ที่ไหน?
– ชอบหนังสือ สะสมหนังสือกับเหล้าไว้เยอะแยะ

17. ชอบถ่ายรูปไหม? ชอบถ่ายรูปอะไร? เซลฟี่ไหม? แล้วทำอะไรกับรูปที่ถ่ายมา?
– ชอบมาก หลังๆมาเริ่มทำตัวเหมือนสตอล์กเกอร์แอบถ่ายรูปแฟนด้วยความเห่อ

18. ออริชอบของประเภทอะไรบ้าง : หนังสือ เพลง รายการทีวี ภาพยนตร์ วีดีโอเกม หรืออื่นๆ
– หนังสือ จริงก็ชอบเล่นเกมด้วยแต่เล่นห่วยมากไม่ผ่านซักที

19. ประเภทของที่ออริที่ชอบน้อยที่สุด
– สิ่งที่ทำให้เกิดเสียงดัง พวกปืนหรือระเบิด

20. ชอบดนตรีไหม? ปกติฟังเพลงรึเปล่า? ออริจะทำอะไรเมื่อได้ยินเพลงที่ชอบ?
– ชอบ ชอบเพลงแจ๊ซ ฮัมเพลงตามบ้าง

21. เป็นคนอารมณ์ยังไง? อดทนอดกลั้นได้ไหม? เวลาโกรธจะเป็นยังไง?
– เป็นคนอารมณ์ดี ความอดทนสูง เวลาโกรธก็จะยิ้มๆเงียบๆ

22. คำพูดหยาบคายต่อว่าคนอื่นที่ชอบใช้คือ? ทำตัวหยาบคายกับคนอื่นเพื่ออะไร? หรือชอบบ่นลับหลังคนอื่น?
– ไม่พูดคำหยาบ ไม่ชอบคนที่ทำตัวหยาบคายด้วย

23. ความจำดีไหม? เป็นพวกจำได้แปปเดียวหรือจะได้นาน? เป็นคนจำชื่อคนหรือหน้าคนเก่งไหม?
– ความจำดี ถ้าตั้งใจจะจำอะไรแล้วจะไม่ลืม

24. นอนท่าไหน? กรนไหม? ชอบนอนบนอะไร? ที่นอนนุ่มๆ หรือแข็งๆ?
– ชอบนอนบนเตียงกว้างๆ มีหมอนข้างด้วยก็จะดี ผ้านวมนุ่มๆก็ดี

25. รู้สึกว่าอะไรตลก? มีอารมณ์ขันไหม? เป็นคนตลกรึเปล่า?
– หลายๆอย่าง บางทีเลื่อนเจออะไรในอินสตาแกรมกับทวิตเตอร์ก็หัวเราะได้แล้ว

26. ถ้ามีความสุขจะแสดงออกยังไง? ร้องเพลง? เต้น? ฮัมเพลง? หรือเก็บซ่อนอารมณ์?
– ฮัมเพลง

27. อะไรทำให้ออริเศร้า? ปกติจะร้องไห้ไหม? ถ้าร้องจะร้องออกมาเลยหรือแอบไปร้องคนเดียว? เวลาเศร้าจะแสดงท่าทางยังไง?
– ยังไม่เคยมีโมเมนท์เศร้าๆขนาดนั้นแต่ก็คิดว่าเป็นคที่หนีปัญหาประมาณนึง

28. ออริกลัวอะไรที่สุด? สิ่งทั่วไปอะไรที่ทำให้ออริกลัว? ตอนกลัวจะเป็นยังไง?
– เสียงระเบิด

29. ออริจะทำอะไรถ้ารู้ว่าคนอื่นกลัวอะไร? จะแกล้งเขาไหม? หรือว่าจะปกป้องจนมากเกินไป?
– แล้วแต่บุคคลถ้าเป็นนักเรียนก็อาจจะแกล้งแหย่

30. ออกกำลังกายไหม? ออกกำกายเป็นเป็นปกติเลยรึเปล่า? หรือออกกำลังเมื่อถูกบังคับ? แสดงท่าทางยังไงตอนก่อนและหลังออกกำลังกาย?
– ออกกำลังกาย วิ่งทุกเช้า ไปฟิตเนสบ้างถ้าว่าง

31. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไหม? เวลาเมาเป็นยังไง? ตอนเมาค้างเป็นยังไง? ทำยังไงถ้าคนอื่นเมาหรือเมาค้าง? จะช่วยหรือแกล้ง?
– ดื่ม ชอบดื่ม ดื่มเยอะด้วย ดื่มได้เรื่อยๆ ชอบลองอะไรแปลกๆ ชอบหลอกให้คนอื่นลองด้วย(…)

32. แต่งตัวยังไง? ซื้อเสื้อผ้าจากร้านแบบไหน? แต่งตัวแบบที่ตัวเองชอบรึเปล่า? ใส่อะไรนอน? แต่งหน้าไหม? ทำผมทรงอะไร?
– เป็นคนแต่งตัวแนวเยอะๆตามแปบบคนยิปซี ทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับรองเท้ากระเป๋านาฬิกา ส่วนชุดนอนก็เสื้อกล้ามกับกางเกงตัวเดียวก็อยู่ได้… ผมตอนนี้ผมยาว พื้นผมเป็นสีขาวหมอกไฮไลท์สีดำ

33. ใส่ชุดชั้นในแบบไหน? บอกเซอร์หรือบรีฟ ชุดชั้นในแบบวัยรุ่นหรือแบบคุณยายใส่?
– บ็อกเซอร์

34. รูปร่างเป็นยังไง? สูงเท่าไหร่? ชอบรูปร่างของตัวเองไหม?
– สูง 192 หนัก 90

35. เคยทำอะไรที่รู้สึกผิดไหม? แล้วทำยังไงถึงจะหายจากความรู้สึกผิดนั้น?
– เคย แล้วแต่เหตุการณ์ถ้าเป็นกับบุคคลก็จะหาทางขอโทษให้ได้

36. ออริทำอะไรได้ดีบ้าง? มีงานอดิเรกอะไร? ร้องเพลงได้ไหม?
– ทำอาหารเก่ง ชอบอ่านหนังสือ

37. ออริชอบอ่านหนังสือแบบไหน? อ่านเร็วหรืออ่านช้า? ชอบบทกวี นวนิยาย หรือสารคดี?
– อ่านหมด อ่านทุกอย่างที่สนใจ ชอบนวนิยายเป็นพิเศษ

38. อะไรที่จะทำให้ออริรู้สึกนับถือในคนอื่น? ความสามารถอะไรที่ออริอยากจะมี?
– ตอนนี้พอใจในตัวเอง นับถือคนจากการวางตัว

39. ออริชอบจดหมายไหม? หรืออาจจะเป็นอีเมลล์ หรือ ข้อความ?
– ชอบ

40. ออริชอบอะไรระหว่างเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟ หรืออาหารหวานๆ หรือว่าออริมีพลังและตื่นตัวตลอดเวลา
– กาแฟ

41. รสนิยมทางเพศของออริเป็นอย่างไร? อะไรที่มีเสน่ห์สำหรับออริรูปร่างหรือจิตใจ? อะไรที่ออริชอบ หรือ ต้องการหากจะผูกพันกับใครซักคน?
– แบบว่าเห็นครั้งแรกก็รู้สึกเลยครับว่าใช่ (ฮา)

42. อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของออริ? ออริจะสละทุกอย่างเพื่อเป้าหมายหรือไม่? อะไรคือความทะเยอทะยานของออริ?
– เขียนหนังสือเป็นของตัวเอง

43. ออรินับถือศาสนาหรือไม่? ออริคิดอย่างไรกับศาสนา? ออริคิดอย่าไงรกับผู้ที่นับถือศาสนา? ออริคิดอย่างไรกับผู้ที่ไม่นับถือศาสนา
– ไม่ได้นับถืออะไรเป็นพิเศษ รู้สึกเฉยๆไม่ก้าวก่าย

44. ออริชอบฤดูอะไรมากที่สุด? สภาพอากาศแบบไหนที่ออริชอบ? ออริรู้สึกดีกับอากาศหนาวหรือร้อน? สภาพอากาศแบบไหนที่ออริเกลียดที่สุด
– ฤดูร้อน ซัมเมอร์สดใส

45. คนอื่นมองออริของคุณเป็นอย่างไร? เหมือนกับที่ออริมองตัวเองไหม?
– อันนี้ไม่รู้เลย แต่เรามองว่าคุณม้าค่อนข้างเป็นคนดื้อแพ่งพอสมควร

46. ออริสามารถสร้างความประทับใจแรกได้หรือไม่? ออริตอบสนองต่อความประทับใจแรกจากคนอื่นได้เร็วแค่ไหน? ออริจะแนะนำตัวเองอย่างไร?
– น่าจะได้ในแบบแปลกๆ

47. ออริสามารถแสดงออกอย่างเป็นทางการได้หรือไม่? ออริคิดยังไงกับการผูกเนคไทด์สีดำ? ออริชอบงานปาร์ตี้แฟนซี และการพูดคุยจิ๊จ๊ะ หรือว่าออริเกลียดงานเลี้ยงพวกนั้นง
– ทำได้ ค่อนข้างชอบงานรื่นเริ่ง แบบไปไหนไปกัน

48. ออริชอบงานปาร์ตี้ไหม? ชอบงานแบบไหน? ออริป็นผู้จัดปาร์ตี้หรือเป็นผู้ร่วมงาน? พออริจะแสดงท่าทีอย่างไรหากว่าเขาไม่ได้อยากไปงานปาร์ตี้ แต่เพื่อนลากไป
– ชอบ แต่ขอร่วมอย่างเดียวก็พอ ไม่อยากรับผิดชอบอะไรที่มันดูยิ่งใหญ่

49. อะไรคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของออริ? เป็นสิ่งที่มีค่ากับจิตใจของออริไหม? มีอะไรที่ออริจะพกมันไปทุกๆที่หรือไม่?
– ตอนนี้คือปลาทองที่เลี้ยงไว้อยู่ แน่นอนว่าความรู้สึกที่มีต่อคนให้ก็สำคัญที่สุดเหมือนกัน

50. หากออริของคุณจะต้องนำกระเป๋าติดตัวไปด้วยหนึ่งใบ ออริจะใส่อะไรในกระเป๋าบ้าง? และทำไมออริถึงตัดสินใจจะนำของสิ่งนั้นไปด้วย?
– หนังสือ กับโทรศัพท์ เอาอะไรไปไม่ได้เอาโทรศัพท์ไว้ติดต่ใครบางคนก็ยังดี

[tag]คำถามต่อออริจินัลคาร์แรคเตอร์

sub07-1

คำถามต่อออริจินัลคาร์แรคเตอร์แบบละเอียดสุดๆ (ฉบับแปลไทย)

แหล่งที่มาจากภาษาอังกฤษ – Link

(ผู้แปลเพียงนำมาแปลเป็นภาษาไทยเท่านั้น)

1. ชื่อเต็มของออริคืออะไร? ทำไมถึงเลือกชื่อนี้ มีความหมายอะไรไหม?
– Gaius Velleneuve (อยากได้ชื่อที่ดูเป็นบริทิชยุคกลางหน่อย ส่วนนามสกุลแปลว่าการตั้งรกรากใหม่ อันนี้เกี่ยวเนื่องกับประวัติคาร์)

2. มีคำนำหน้าชื่อหรือยศอะไรไหม? ทำไมถึงได้มี?
– ไม่มี

3. ออริมีวัยเด็กที่ดีไหม? ความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กคืออะไร? แล้วอะไรคือความทรงจำที่เลวร้าย?
– เป็นวัยเด็กที่ดีมากจนกระทั่งเสียพ่อไปอันนั้นก็เป็นความทรงจำที่ร้ายที่สุดแล้ว

4. มีความสัมพันธ์ยังไงกับพ่อแม่? อะไรคือความทรงจำดีๆ และไม่ดีกับพ่อแม่? ออริรู้จักพ่อแม่ของตัวเองทั้งคู่ไหม
– รู้จักพ่อกับแม่ทั้งคู่รักพ่อกับแม่มากด้วย โตมาแบบไข่ในหิน

5. ออริมีพี่น้องไหม? ชื่ออะไร? มีความสัมพันธ์กันยังไง? ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องตั้งแต่เด็กจนโตเปลี่ยนแปลงไปไหม
– เป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง แต่มีคนที่รู้สึกแบบนั้นด้วยอยู่

6. ออริเป็นยังไงตอนอยู่ที่โรงเรียน? สนุกกับชีวิตในโรงเรียนไหม? เรียนจบไหม? เรียนถึงระดับไหน? ชอบเรียนวิชาอะไร? ไม่ชอบวิชาอะไร?
– ไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะเดินทางไปไหนมาไหนกับพ่อบ่อยๆ อาศัยอาจารย์ที่จ้างมาสอนถึงบ้าน

7. ตอนเด็กมีเพื่อนเยอะไหม? แล้วมีเพื่อนที่คบกันตั้งแต่เด็กจนโตไหม?
– มีแค่เพื่อนชั่วครั้งชั่วคราวเพราะตัวเองอยู่ไม่ติดที่นัก

8. ตอนเด็กเคยเลี้ยงสัตว์ไหม? ตอนโตเลี้ยงไหม? ชอบสัตว์รึเปล่า?
– ไม่เคยเลี้ยงสัตว์เลยเพราะชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนเรือ จนตอนนี้ก็มีอีกากับแมวที่เหมือนตัวเองจะเอามายึดไว้กลายๆ

9. สัตว์เชื่องกับออริไหม? ออริเข้ากับสัตว์ได้ดีไหม?
– เรียกว่าเป็นทาสส่วนตัวไปแล้วดีกว่า

10. ออริชอบเด็กไหม? เด็กชอบออริไหม? ออริมีลูกหรืออยากมีลูกไหม? ออริจะเป็นพ่อแม่แบบไหน? หรือเป็นพ่อแม่อุปถัมป์/พี่เลี้ยงเด็ก/อื่นๆ แบบไหน?
– อืม…ไม่ได้เกลียดแล้วก็ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ แต่ถ้าตกลงใจจะมีลูกจริงๆก็คงจะรักมากทีเดียว

11. ออริมีความต้องการทางอาหารเป็นพิเศษไหม? เป็นคนไม่กินเนื้อสัตว์รึเปล่า? เป็นมังสวิรัติ? แพ้อะไรไหม?
– ไม่ได้เลือกอะไรมากนักแต่ถ้าให้เจาะจงก็คงจะเป็นพวกปลา

12. ชอบอาหารอะไร?
– ไม่มีเป็นพิเศษ

13. ชอบอาหารอะไรน้อยที่สุด?
– ไม่มีเป็นพิเศษ

14. มีความทรงจำเฉพาะกับอาหาร/ร้านอาหาร/มื้ออาหารอะไรไหม?
– นึกๆแล้วก็ไม่มีเลย ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีคนมาตามบางครั้งก็จะลืมไปกินด้วย

15. ทำอาหารเก่งไหม? สนุกกับการทำอาหารไหม? คนอื่นคิดว่าการทำอาหารของออริเป็นยังไง?
– ทำไม่เป็นเลยยยย เรียกว่าไม่สำเร็จตั้งแต่จุดเตาเลยดีกว่า พังพินาศไม่เคยให้ใครรู้เห็น ถ้าต้องทำเองก็จะไม่กิน

16. ออริสะสมอะไรไหม? แล้วทำอะไรกับของสะสมนั้นบ้าง? เก็บของสะสมไว้ที่ไหน?
– ก่อนหน้านี้สะสมจดหมายจากใครบางคนไว้แต่ก็เผาทิ้งไปหมดแล้ว ตอนนี้เลยเหลือแค่หนังสือหนึ่งเล่มกับไวโอลินเก่าๆ

17. ชอบถ่ายรูปไหม? ชอบถ่ายรูปอะไร? เซลฟี่ไหม? แล้วทำอะไรกับรูปที่ถ่ายมา?
– ยังไม่อยู่ในสมัยที่มีเทคโนโลยีนี้ฮ่าๆ

18. ออริชอบของประเภทอะไรบ้าง : หนังสือ เพลง รายการทีวี ภาพยนตร์ วีดีโอเกม หรืออื่นๆ
– หนังสือ แนวที่ชอบเป็นพิเศษคือปรัชญา

19. ประเภทของที่ออริที่ชอบน้อยที่สุด
– ของนี่ไม่น่ามี

20. ชอบดนตรีไหม? ปกติฟังเพลงรึเปล่า? ออริจะทำอะไรเมื่อได้ยินเพลงที่ชอบ?
– ถ้ามีคนที่เล่นเก่งๆเขาก็ชอบที่จะฟังอยู่เฉยๆเหมือนกัน

21. เป็นคนอารมณ์ยังไง? อดทนอดกลั้นได้ไหม? เวลาโกรธจะเป็นยังไง?
– เฉยชากับโลกมากจนเกินพอดี ไม่ใช่คนความอดทนสูงนักมักหลีกเลี่ยงด้วยการหลบหนีไปเอง

22. คำพูดหยาบคายต่อว่าคนอื่นที่ชอบใช้คือ? ทำตัวหยาบคายกับคนอื่นเพื่ออะไร? หรือชอบบ่นลับหลังคนอื่น?
– พูดน้อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แรงที่สุดคือ ระยำ แต่ก็แค่สบถเบาๆกับตัวเองเท่านั้น

23. ความจำดีไหม? เป็นพวกจำได้แปปเดียวหรือจะได้นาน? เป็นคนจำชื่อคนหรือหน้าคนเก่งไหม?
– ความจำดี เป็นคนฉลาด

24. นอนท่าไหน? กรนไหม? ชอบนอนบนอะไร? ที่นอนนุ่มๆ หรือแข็งๆ?
– นอนไม่ห่มผ้า ขี้หนาวแต่ไม่ชอบผ้าห่ม ชอบให้บนที่นอนมีหมอนหลายๆใบแทน

25. รู้สึกว่าอะไรตลก? มีอารมณ์ขันไหม? เป็นคนตลกรึเปล่า?
– ไม่มี

26. ถ้ามีความสุขจะแสดงออกยังไง? ร้องเพลง? เต้น? ฮัมเพลง? หรือเก็บซ่อนอารมณ์?
– ยังไม่ได้มีความรู้สึกในระดับนั้นซักทีตอนนี้ก็เลยไม่รู้เหมือนกัน

27. อะไรทำให้ออริเศร้า? ปกติจะร้องไห้ไหม? ถ้าร้องจะร้องออกมาเลยหรือแอบไปร้องคนเดียว? เวลาเศร้าจะแสดงท่าทางยังไง?
– หลังจากพ่อเสียไปก็ไม่ได้เศร้าหรือร้องไห้กับอะไรอีก เหมือนความรู้สึกมันหมดไปแล้ว แต่ถ้ามีอะไรหงุดหงิดกวนใจจะเก็บตัวเงียบแล้วหยิบเอาไวโอลินออกมาเล่น

28. ออริกลัวอะไรที่สุด? สิ่งทั่วไปอะไรที่ทำให้ออริกลัว? ตอนกลัวจะเป็นยังไง?
– น่าจะเป็นความทรงงจำที่ตัวเองเก็บเอาไว้นี่แหละ

29. ออริจะทำอะไรถ้ารู้ว่าคนอื่นกลัวอะไร? จะแกล้งเขาไหม? หรือว่าจะปกป้องจนมากเกินไป?
– จะจำเอาไว้เฉยๆ คงไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่ถ้าเกิดผันตัวเป็นศัตรูขึ้นมาก็คงจะเอามาใช้

30. ออกกำลังกายไหม? ออกกำกายเป็นเป็นปกติเลยรึเปล่า? หรือออกกำลังเมื่อถูกบังคับ? แสดงท่าทางยังไงตอนก่อนและหลังออกกำลังกาย?
– ออกกำลังกายเบาๆ หรือไม่ก็ทำงานหนักพวกยกโน่นนี่แทนเวลาที่ไม่ได้ลงจากเรือนานๆ

31. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไหม? เวลาเมาเป็นยังไง? ตอนเมาค้างเป็นยังไง? ทำยังไงถ้าคนอื่นเมาหรือเมาค้าง? จะช่วยหรือแกล้ง?
– ดื่ม ยังไม่เคยให้ใครเห็นตอนเมา ถ้าคนอื่นเมาก็จะหนีออกจากจุดนั้น

32. แต่งตัวยังไง? ซื้อเสื้อผ้าจากร้านแบบไหน? แต่งตัวแบบที่ตัวเองชอบรึเปล่า? ใส่อะไรนอน? แต่งหน้าไหม? ทำผมทรงอะไร?
– ตอนอยู่บนเรือก็ใส่เสื้อผ้าสบายๆ แต่ดูเหมือนว่าถ้ามีโอกาสก็จะใส่ของดีจากร้านสั่งตัดที่แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ผมยาวปิดหลังรวบต่ำ

33. ใส่ชุดชั้นในแบบไหน? บอกเซอร์หรือบรีฟ ชุดชั้นในแบบวัยรุ่นหรือแบบคุณยายใส่?
– ไม่ใส่

34. รูปร่างเป็นยังไง? สูงเท่าไหร่? ชอบรูปร่างของตัวเองไหม?
– สูง 187 หนัก 75 ตามโปรไฟล์ที่เขียนไว้ ไม่ได้สนใจหรือชื่นชอบอะไรในตัวเอง

35. เคยทำอะไรที่รู้สึกผิดไหม? แล้วทำยังไงถึงจะหายจากความรู้สึกผิดนั้น?
– เคย ถ้าไม่มีโอกาสได้ขอโทษก็จะหนีไปเล่นไวโอลินเงียบๆรวบรวมสมาธิให้ตัวเองลืมๆ

36. ออริทำอะไรได้ดีบ้าง? มีงานอดิเรกอะไร? ร้องเพลงได้ไหม?
– เล่นไวโอลินได้บ้าง แต่ไม่ได้เก่งอะไรนัก งานอดิเรกคืออ่านหนังสือ ร้องเพลงได้แต่ไม่ร้อง

37. ออริชอบอ่านหนังสือแบบไหน? อ่านเร็วหรืออ่านช้า? ชอบบทกวี นวนิยาย หรือสารคดี?
– อ่านค่อนข้างเร็ว แต่ดูเจ้าตัวจะพยายามอ่านให้ช้าๆหน่อยเพราะไม่งั้นจะต้องซื้อใหม่อยู่เรื่อยๆ ชอบอ่านหนังสือประเภทปรัชญา

38. อะไรที่จะทำให้ออริรู้สึกนับถือในคนอื่น? ความสามารถอะไรที่ออริอยากจะมี?
– ความน่าเกรงขาม ความสามารถที่อยากจะมีนี่ไม่แน่ใจ

39. ออริชอบจดหมายไหม? หรืออาจจะเป็นอีเมลล์ หรือ ข้อความ?
– ชอบ

40. ออริชอบอะไรระหว่างเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟ หรืออาหารหวานๆ หรือว่าออริมีพลังและตื่นตัวตลอดเวลา
– ชาอุ่นๆ

41. รสนิยมทางเพศของออริเป็นอย่างไร? อะไรที่มีเสน่ห์สำหรับออริรูปร่างหรือจิตใจ? อะไรที่ออริชอบ หรือ ต้องการหากจะผูกพันกับใครซักคน?
– ชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วให้ความรู้สึกสบายใจ ถ้าเป็นไปได้ก็คงอยากจะรู้สึกว่าตัวเองปล่อยวางแล้วก็พึ่งพิงได้ในหลายๆความหมาย

42. อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของออริ? ออริจะสละทุกอย่างเพื่อเป้าหมายหรือไม่? อะไรคือความทะเยอทะยานของออริ?
– ตามหาคนคนนึงอยู่ แน่นอนว่าเพื่อล้างแค้น เพราะว่าตัวเองไม่มีอะไรจะเสียแล้วเลยคิดว่าคงจะยอมสละอะไรก็ได้เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย

43. ออรินับถือศาสนาหรือไม่? ออริคิดอย่างไรกับศาสนา? ออริคิดอย่าไงรกับผู้ที่นับถือศาสนา? ออริคิดอย่างไรกับผู้ที่ไม่นับถือศาสนา
– ไม่ได้นับถืออะไรเป็นพิเศษแล้วก็ไม่ได้สนใจด้วย

44. ออริชอบฤดูอะไรมากที่สุด? สภาพอากาศแบบไหนที่ออริชอบ? ออริรู้สึกดีกับอากาศหนาวหรือร้อน? สภาพอากาศแบบไหนที่ออริเกลียดที่สุด
– ฤดูใบไม้ผลิชอบอากาศอุ่นๆกับลมอ่อนๆ เกลียดอากาศหนาวมากหัวจะตันคิดอะไรไม่ออกเลย

45. คนอื่นมองออริของคุณเป็นอย่างไร? เหมือนกับที่ออริมองตัวเองไหม?
– อันนี้ไม่ค่อยรู้มีคนบอกว่าเซ็กซี่ ยังรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจอยู่แต่ก็ต่างกับที่เรามองแล้วก็ไกอัสมองตัวเองอีกทีแบบสุดๆ

46. ออริสามารถสร้างความประทับใจแรกได้หรือไม่? ออริตอบสนองต่อความประทับใจแรกจากคนอื่นได้เร็วแค่ไหน? ออริจะแนะนำตัวเองอย่างไร?
– สามารถทำได้ในบริบทที่ต่างกันไป เรียกว่าถ้ารู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นงานที่ต้องทำก็จะสามารถทำได้

47. ออริสามารถแสดงออกอย่างเป็นทางการได้หรือไม่? ออริคิดยังไงกับการผูกเนคไทด์สีดำ? ออริชอบงานปาร์ตี้แฟนซี และการพูดคุยจิ๊จ๊ะ หรือว่าออริเกลียดงานเลี้ยงพวกนั้นง
– สามารถทำได้ ไปได้แต่ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ

48. ออริชอบงานปาร์ตี้ไหม? ชอบงานแบบไหน? ออริป็นผู้จัดปาร์ตี้หรือเป็นผู้ร่วมงาน? พออริจะแสดงท่าทีอย่างไรหากว่าเขาไม่ได้อยากไปงานปาร์ตี้ แต่เพื่อนลากไป
– ไม่ชอบ ถ้าไม่มีความจำเป็นก็จะไม่ไป

49. อะไรคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของออริ? เป็นสิ่งที่มีค่ากับจิตใจของออริไหม? มีอะไรที่ออริจะพกมันไปทุกๆที่หรือไม่?
– ตอนนี้คือไวโอลินที่เก็บไว้ เป็นของส่วนตัวอย่างเดียวที่ไม่ว่าจะไปไหนก็จะเอาไปด้วย

50. หากออริของคุณจะต้องนำกระเป๋าติดตัวไปด้วยหนึ่งใบ ออริจะใส่อะไรในกระเป๋าบ้าง? และทำไมออริถึงตัดสินใจจะนำของสิ่งนั้นไปด้วย?
– ไวโอลิน

[R-Pirate]Chapter 0

Folk Tale

Words Count : 1,318

Coloured Illustrate : 1

Coordinate Char. : Jerry

‘เจ้ารู้ไหมในท้องทะเลของพวกเราไม่ได้มีแต่เพียงความสวยงาม’

‘สัตว์ร้ายที่ต่างเป็นตำนานเล่าขานนั้นครั้งหนึ่งเคยมีอยู่จริง เพียงเวลาทำให้เราหลงลืมมันไป’

‘เมื่อคำพูดถูกส่งไปยังปากต่อปากแล้วเรื่องนั้นอาจหนักหนาหรือเบาบางหากก็ล้วนบรรทุกไว้ซึ่งเสี้ยวหนึ่งของ
ความจริง’

‘แล้วเจ้าเชื่อมันมากขนาดไหนกันล่ะ?’
.
.

ori185

.
.

‘ได้เวลานอนแล้วหากไม่ยอมหลับตากลมๆของเจ้าลงเสียตอนนี้ เจ้าจะถูกเงือกพรากเอาไปนะ’

ถ้อยคำเหมือนต้องการข่มขู่ให้หวาดกลัวหากน้ำเสียงที่ติดแน่นในความทรงจำนั้นกลับอ่อนโยนเหลือคณา นิทาน
หลอกเด็กที่เขาเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ล้วนต้องเคยได้ยินมาทั้งนั้น

เขาไม่ได้นึกถึงสิ่งเหล่านี้มานานเหลือเกินจนแม้แต่ตนเองยังนึกไปว่าลืมสิ่งเหล่านี้ไปเสียจนหมดสิ้นแล้ว กระทั่ง
คำลือหนาหูที่ไม่ว่าจะเทียบบเรือเข้ากับที่ใดก็ต้องได้ยินในเวลานี้

‘การกลับมาของเงือก’

ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงหลังจากพ้นวัยหัดเรียนรู้นั่นมาแล้วเขาเองก็ไม่ได้เชื่อถือเรื่องปรัมปราเช่นนั้นอีกเลย ถึงแม้
ว่าในหนังสือเกี่ยวกับการเดินเรือบางเล่มจะยังคงมีเขียนไว้อยู่ แต่มันก็เลือนลางและบางเบาเสียจนดูเหมือนว่ามัน
ถูกยัดเยียดเข้ามาเพื่อเติมเต็มในบทเรียนเสียมากกว่า

เขาลงมือเขียนจดหมายสั้นๆม้วนสอดมันลงไปในกระบอกทรงเล็กที่ข้อเท้าของนกเรเวนตัวโปรด ปล่อยให้มันนำ
เอาความคับข้องใจของเขาไปสู่ปลายทางด้วยหวังว่าสิ่งที่กลับมานั้นจะทำให้เขาโล่งใจขึ้นได้บ้าง

…แต่ก็ไม่…

ไม่เลยแม้สักน้อย…

หัวคิ้วของเขามุ่นเข้าหากันอย่างหนักเมื่อคลี่กระดาษใบเล็กในมือออกอ่านและพบว่าข้อความสั้นๆที่แนบมานั้นทำให้ความกังขาของเขายิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี

‘บางส่วนเตรียมอพยพ’

สายที่เขาเชื่อถือตอบเขาด้วยข้อความสั้นๆเพียงเท่านี้ แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่ามันทำให้เขาเชื่อถือเรื่องบ้าๆนั่นมากขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยๆก็มากพอที่จะทำให้รู้กสึกยุ่งยากใจกระทั่งลังเลที่จะลงไปหาข่าวในเมืองด้วยตนเองดู ….หรือไม่การได้คุยกับคนอื่นบ้างก็อาจทำให้มันสงบลงได้ก็ได้

“ท่านจะไปไหนหรือ?”

เสียงเรียกของเจอร์รีทำให้ปลายเท้าของเขาชะงัก เรื่องที่คาอยู่ในสมองจึงหลุดออกไปโดยแทบไม่ทันตรอง “เจ้าได้ยินเรื่องเงือกบ้างหรือเปล่าช่วงนี้?”

“อืม ข้าเองก็ได้ยินข่าวมาบ้างนะครับแต่ข้าเองก็ไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวมากมายนัก แล้วท่านล่ะครับ?”

“ข้าก็ได้ยินมาบ้าง…เพียงแต่ข้ารู้สึกว่ามันออกจะเหลือเชื่อไปเสียหน่อยน่ะ…”

“ความจริงแค่เรื่องนางเงือกก็ฟังดูเหลือเชื่อแล้วล่ะนะครับ”

เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดเพราะนิทานนั้นมันฟังดูปรัมปราเสียเหลือเกิน แต่หากเมื่อลองพินิจดูดีๆแล้วหากเงือกมีการวางไข่ในช่วงเวลากว่าร้อยปีจริงมันก็กินเวลาเพียงสองช่วงอายุคนเท่านั้น

หัวคิ้วมุ่นเข้าหนักขึ้นอีกละมือที่สวมกอดกับอกตัวเองขึ้นงับแนวฟันกับข้อนิ้ว เป็นนิสัยติดตัวไปแล้วเวลาที่ใช้สมองกับเรื่องไม่เข้าใจหนักๆ ดูเหมือนว่าเจอร์รี่เองก็จะได้ยินข่าวที่ว่าฝูงเงือกจะกลับมาในช่วงเร็วๆนี้อยู่เช่นกัน

“ข้าหลงนึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องปรัมปรา..”

เจอร์รี่ไม่ได้ปฏิเสธคำอุทานลอยๆของเขา “ข้าก็คิดเช่นนั้น ข้าเคยได้ยินมานานโนมเหมือนกับนิทานให้เด็กฟังเสียมากกว่า แต่มันก็อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้นี่ครับท่าน”

“…หากมีการอพยพขึ้นฝั่งกันจริง ก็คงจะไม่ใช่เรื่องกุหรอก..”

“ท่านว่าจะมีความเลวร้ายสูงสุดที่มีความเป็นไปได้เท่าไหร่หรือ?”

“แค่นิทานหลอกเด็กนี่เป็นจริงก็คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านั้นแล้วหรอกกระมัง…”

ยิ่งคิดแบบนั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกอยากลงไปยืนยันกับสายข่าวด้วยสองตาของตน เพราะหากมีการเตรียมอพยพของชาวเมืองจริงๆอย่างที่ข่าวแจ้งมาแล้ว เขาเองก็อยากรู้ว่าในหมู่คนเหล่านั้นมีใครที่ได้เคยเห็นตำนานนั่นกับตาจริงเมื่อเร็วๆนี้หรือเปล่า

จากการพูดคุยกันเขาก็รู้สึกว่าคู่สนทนานั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในลักษณะกึ่งเผื่อใจเอาไว้ว่ามันอาจมีอยู่จริง

“ข้าเองก็หวั่นใจไม่น้อยครับท่าน” คำตอบนั้นยอมรับอยู่ในทีเมื่อเขาถามหยั่งเชิงออกไปตรงๆ “เรื่องราวปรัมปราอย่างน้อยๆก็ต้องมีมูลที่น่าจะเกิดขึ้นและเป็นไปได้”

“อันที่จริงข้าเชื่อว่ามันเกิดจากการเบือนคำพูดแบบปากต่อปากมากกว่า…แต่ก็อาจเป็นอย่างที่เจ้าว่า”

ปลายมือของอีกคนแตะเข้าที่คางด้วยสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิด “ทุกเรื่องราวต้องมีต้นสายปลายเหตุนะครับ ข้าว่า…แต่เรื่องบิดเบือนนั้นก็เป็นไปได้จริงๆ ”

เขาทอดถอนใจเหนื่อยแทนคำสนทนาต่อ เมื่อคิดในแง่นั้นแล้วก็อาจมีเรื่องราวในอีกแง่มุมที่พวกเขาไม่เคยได้รับรู้ และโพนทนาออกไปอย่างบิดเบี้ยวเสียจนทุกคนต้องมาตีตนไปก่อนไข้เช่นนี้ “….หรือหากยังไม่เจอเข้ากับตัวเราก็คงไม่จำเป็นต้องสนใจนัก”

คู่สนทนาดูแปลกใจไม่น้อยกับการเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันของเขา …ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก…

“…มันก็ไม่ได้มีผลกระทบกับเรือเราไม่ใช่หรือ” แน่นอนว่าเขาหมายความถึงในช่วงเวลาอันสั้นนี้ เพราะไม่ว่าตำนานจะเป็นจริงหรือไม่เท่าที่เขารู้มาก็ไม่เคยมีหนังสือหรือตำราใดเอ่ยถึงวิธีป้องกันหรือกำจัดเงือกเหล่านั้นเอาไว้เลย

“มัน…ก็ใช่ล่ะนะครับ …มันก็ใช่”

เจอร์รี่ที่ยังดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนั้นดูจะยังวางใจไม่ลงเสียทีเดียว ..ตามเนื้อผ้าแล้วเขาเองก็ไม่ได้วางใจเพียงแค่ตระหนักขึ้นมาได้ว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะกังวลไปกับเรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้นโดยไม่มีวิธีรับมือก่อน

“เช่นนั้นเจ้าอยากจะทำยังไงล่ะ?..”

“เอ่อ… ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ความจริงป้องกันไว้ก็ดีกว่าแต่ถ้าไม่เป็นเรื่องจริงก็คงหน้าแตกนิดนึง”

“หากต้องทำอะไรกับเรือจริง ท่านลูก้าคงแจ้งเองนั่นล่ะ..”

พอเอ่ยพาดพิงถึงชื่อกัปตันอีกคนก็ดูจะกระวนกระวายน้อยลงหน่อย หากเขาก็นึกไม่ออกเหมือนกันจริงๆว่าตัวเองจะสามารถตัดสินใจอะไรกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นได้บ้าง

..จะแนะนำให้หยุดพักเรือหรือ? พวกเขาเป็นโจรแน่นอนว่าเรื่องแบบนั้นไม่ได้อยู่ในสมอง

..จะให้เสริมความทนทานให้กับเรือหรือ? ด้วยอะไรกันในเมื่อไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าสิ่งใดจะใช้ป้องกันการโจมตีของพวกมันได้

…และไม่ใช่ว่าซีนิธ เชสเซอร์ในตำนานเล่าขานนั่นก็ใช้เรือที่มีอยู่ของพวกเขาในการขับไล่เงือกหรอกหรือ…
.
.
.
.
คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและได้แต่คิดกังวลไปนั้นจะทำอะไรไปได้มากกว่านำเอาตำนานมาหักล้างตำนานให้จบไปอีกเล่า?

[Drabble] Kiss

เจ้าชอบการจูบหากข้ารังเกียจมันนัก รวมไปถึงความรู้สึกเต็มตื้นบางอย่างที่คุโชนขึ้นมาในอกนี่ด้วย

ข้าไม่ใคร่เข้าใจความสำคัญของมันเมื่อนี่เป็นเพียงความสัมพันธ์ผิวเผินที่ปลดเปลื้องความต้องการบางอย่างทางกาย และการจูบนั้นก็เป็นเหมือนพิธีรีตรองอย่างหนึ่งที่คนรักทำกันในบางครั้งก็เท่านั้น เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วมันจึงดูไม่มีความสลักสำคัญเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะข้าและเจ้าที่ไม่ใกล้เคียงกับความสัมพันธ์เช่นนั้นเลยซักนิด

ในยามที่ข้ายื่นคำขาดว่าไม่ต้องการมัน สายตาเชิงตัดพ้อแปลกๆของเจ้าก็อีกที่ทำให้ข้าต้องยอมลงกับการกระทำไม่จำเป็นเหล่านั้น

บางคราข้าจึงทำได้เพียงเบี่ยงใบหน้าหลบหรือยกมือขึ้นปิดบังริมฝีปากด้วยต้องการจะห้าม แต่เมื่อถูกขืนดึงดันด้วยความดื้อรั้นนั่นแล้วข้าก็ต้องยอมอย่างเสียไม่ได้ทุกคราไป

…จนน่ากลัวเหลือเกินว่าข้าจะไม่อาจต้านทานมันได้อีก…
.
.
.
ข้าชอบการสัมผัสผ่านริมฝีปากอีกทั้งปฏิกิริยาน้อยๆจากร่างกายของเจ้า หากเจ้ากลับดูรังเกียจและต้องการปฏิเสธมันเสียเหลือเกิน

ผิดนักหรือกับวิธีที่จะได้แสดงความรักเพียงหนึ่งเดียวของข้า เมื่อเจ้าไม่เคยอนุญาตให้ข้าเอ่ยความรู้สึกใดออกมาได้ การจูบจึงเป็นดั่งสิ่งสำคัญหนึ่งเดียวที่จะช่วยยืนยันกับข้าว่าจะมีแค่ข้าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใกล้ชิดกับเจ้าได้มากกว่าคนอื่นใดในโลกนี้ หากเป็นเพียงความสัมพันธ์ทางกายระหว่างเราเท่านั้นเองที่เจ้าต้องการ

…ไม่สิ มีเพียง ‘เจ้า’ กับ ‘ข้า’ ที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยได้ยินคำว่า ‘เรา’ หลุดร่วงจากปากของเจ้าเสียด้วยซ้ำ…

คำขาดที่เจ้ายื่นมานั้นพลันริดรอนความหวังของข้าไปเสียสิ้น ข้าไม่อาจเข้าใจได้นักหรอกว่าตนเองมีสีหน้าเช่นไรเมื่อมันเจ็บเสียจนข้าไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งอื่นใด

ข้าขืนใช้กำลังกับเจ้าที่พร่ำปฏิเสธ บังคับเอาในสิ่งที่ข้าต้องการเพียงเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเจ้าจะไม่มีวันยินยอมให้ข้าด้วยความเต็มใจของเจ้าเอง

…จนน่ากลัวเหลือเกินว่าเจ้าจะพลันจบมันลงพร้อมความรักที่ไม่เคยได้รับอนุญาตแม้แต่คำเริ่มต้นของข้า…

[Drabble]Lost

“…บางคราข้าเคยหวนคิด บนพื้นฐานแห่งความเป็นไปไม่ได้ ถึงทางเดินร้อยพันที่ข้าเป็นคนเลือกสรร ถึงหนทางหมื่นแสนที่แตกแยกออกไป หากหนทางเหล่านั้นต่างล้วนไม่มีวันเป็นจริง…”

.

.

“ใจของข้ากอปรขึ้นจากเศษเสี้ยวของความรู้สึก ยาไว้ด้วยความคั่งแค้นเหลือคณา แม้เมื่อมันหมดไปแล้วใจของข้าก็พลันแตกสลายลงอีกครา”

.

.

“ข้าต้องการให้เจ้าเข้าใจ หากการอธิบายนั้นจะต่างอะไรออกไปจากการแก้ตัวหรือ”

.

.

“ข้าแค้น …แค้นเสียจนเฉยชา กระทั่งข้าเองก็ไม่อาจนึกว่าเมื่อข้าได้พบในสิ่งที่ตะเกียกตะกายหาอยู่นั้นแล้ว จะยังคงมีความรู้สึกใดๆหลงเหลืออยู่ในตัวข้าอีกหรือเปล่า”

.

.

“ใครบางคนเคยบอกกับข้าว่าตัวข้านั้นไม่ได้ถูกช่วยเหลือขึ้นมาจากผืนน้ำที่ดำสนิทในความทรงจำนั้นหรอก หากยังคงดิ่งลึกสู่ก้นบึ้งอันไม่มีทางออก ดิ่งลึกลง..กระทั่งไม่มีมือคู่ใดเอื้อมไปถึง”

“หรือไม่ก็เป็นเพราะข้าได้ปัดป่ายแสงสว่างเหล่านั้นทิ้งด้วยสองมือของตนเอง”

.

.

“ผิดหรือที่ข้าไม่ต้องการ เมื่อสิ่งที่ข้าพยายามยึดหนี่ยวไว้นั้นพลันทลายลงต่อตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

.

.

เด็กน้อยคนหนึ่งหลงทางอยู่ในทางเดินอันมืดมิด สองเท้าเหยียบย่ำลงบนก้อนกรวดทรายจนเจ็บระบม เขาไม่รู้ว่าตนกำลังแสวงหาซึ่งสิ่งใดรวมถึงไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรความมืดมิดนี้จึงจะหายไปได้เสียที ปลายเท้าชื้นเปียกบางทีกรวดแหลมคงบาดมันเป็นแผลกว้างกระนั้นเขาก็ไม่อาจหยุดเดินได้ ใจของเข้าเพรียกหา ใคร… ใครก็ได้….ใครก็ได้ที่จะช่วยนำเขาออกไปจากทางเดินมืดมิดนี้เสียที

.

.

…ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาที่ปลายเท้าสะดุดล้มลง เขาก็คงไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีกเลย…