[EHW] Dote P.

EAOtFBNU4AEZPjm

Twitter : @EHW_Dote

Profile

SexMaleBlood-typeB
HouseHufflepuffBlood StatusPure-Blood
Year6thAge17
DOB30/05/2003H/W188/80
HairBrownEyeGolden Brown

Clothes&Details

 Full Body(WIP)

Wand

WoodsHemlockCoreUnicorn Hairs
FlexibilityFlexibleLength12 inches

Pet: Welldone the piglet

image

Patronus

Tibetan Fox

Bio

โดเต้เป็นลูกครึ่งทิเบต-อังกฤษ พ่อกับแม่ของเขาเป็นศิษย์เก่าของฮอกวอตส์ทั้งคู่และพบรักกันที่นั่น บ้านของเขาเป็นร้านขายสมุนไพรสำหรับปรุงยาโดยเฉพาะตกทอดผ่านลงมาทางตระกูลของแม่ ในขณะที่พ่อทำงานเป็นเสมียนธรรมดาในกระทรวง ทำให้โดเต้ที่โดนจับให้ช่วยงานแม่แต่เล็กแต่น้อยคุ้นเคยและมีความรู้ด้านสมุนไพรและการปรุงยาเป็นพิเศษ

เป็นคนหน้าจืดเลือดแท้ทั้งๆที่พ่อแม่ก็ไม่ได้จืด เรียกว่าเอาส่วนดีๆของคนทั้งบ้านมารวมกัน นอกเครื่องแบบจะรักการแต่งตัวตื๊ดกลบความไม่เข้าสเกลของหน้า เวลาเข้ากล้องกล้องเลยพาลโฟกัสทุกอย่างยกเว้นหน้า อยู่ในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิตแต่ก็ไม่ได้มีความฝันอะไรเป็นพิเศษนอกจากการสานต่อกิจการทางบ้าน ตอนนี้เลยมีความสุขกับกิจกรรมโรงเรียนและการแกล้งชาวบ้านไปวันๆ


Personality

  • ร่าเริงสดใสแต่หน้าไม่จอยด้วย 
  • เป็นคนง่ายๆสบายๆ ชอบมีเพื่อนแม้ว่าเพื่อนจะไม่ค่อยชอบก็ตาม
  • ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว แม้ว่าจะเป็นคนสบายๆขนาดไหนก็ไม่ชอบการเฝ้ารออยู่ดี เลยติดจะเป็นคนใจร้อนตัดสินใจเร็ว
  • จากการเป็นคนใจร้อนเลยลามมาเป็นคนตัดใจง่ายไปด้วย ถ้ามีแนวโน้มจะต้องรออะไรก็จะล้มเลิกได้ทันทีแม้ว่าตัวเองจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำก็ตาม
  • เห็นแก่กินมาก ถูกชักจูงได้ง่ายถ้ามีอาหารฟรี
  • โตมาแบบชาวบ้านเลยไม่ได้เป็นคนที่บุคลิกดีอะไรนัก เรียกว่าค่อนไปทางเป็นเด็กผู้ชายสกปรกซกมกก็ว่าได้ แต่อยู่หอมาหลายปีโดนรูมเมทด่าก็พอจะระมัดระวังขึ้นมาบ้างแล้วเวลาอยู่กับคนอื่น
  • ชอบการที่ชีวิตตัวเองเป็นเส้นตรงและไม่ชอบอะไรยุ่งยากเลยเป็นคนที่มีแนวโน้มหนีปัญหาใหญ่ๆในชีวิตพอสมควร
Like– ของสีบาดตาบาดใจ
– แผ่นเสริมไหล่
– ชอบเล่นกีฬา
– อาหารฟรี เน้นเนื้อ
Dislike– คนที่พยายามกินเวลดัน
– บอกกี่ทีแล้วว่าชื่อโดเต้ ไม่ใช่โดเด่แล้วก็ไม่ใช่ ดอทเอด้วย
Speciality– เรื่องใช้แรงงาน อะไรที่ใช้ร่างกายกว่าสมองโอเคทั้งหมด
– วิชาปรุงยากับสมุนไพรวิทยา(ข้อยกเว้นในสมอง)
Tend to Avoid– การเฝ้ารอ
– การเผชิญปัญหาซับซ้อน

Others

  • ไม่ได้ไหล่ลู่แต่ไม่มีไหล่จริงๆ สะสมแผ่นเสริมไหล่อยู่ 
  • ไม่ถนัดการต่อสู้กับชาวบ้านเท่าไหร่เลยมักหาทางหนีทีไล่ประหลาดๆอยู่เสมอ
  • ถูกเข้าใจผิดบ่อยเพราะหน้าตาไม่จอยโลก หน้าตามีความสุขอยู่แท้ๆแปลกจริงๆ
  • จุดเดือดสูงแหย่ได้รักสงบ

Relation

Loading…


Event

Loading…

[FFXV]Blot ep.5

Pairing : Ardyn/Ravus
Rate : Angst ,Sad Ending
Note : Episode4

Episode 5


…หลายๆครั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งผลสำเร็จ เราก็อาจจะต้องลงทุนลงแรงด้วยตัวเองกันบ้าง…

เขากำลังหลอกตัวเองให้คิดเช่นนั้น เรวุสไล้มือไปตามขอบโต๊ะไม้เนื้อดี กวาดสายตามองแผ่นกระดาษที่กระจายอยู่เบื้องหน้าไม่ได้ข้อมูลมีประโยชน์อะไรจากมันเลยซักนิด ‘ก็ไม่ได้คิดว่าจะทิ้งข้อมูลสำคัญอะไรไว้ในที่เตะตาแบบนี้หรอกนะ’

ปลายผมชื้นน้ำลู่แนบผิว มือดึงเสื้อคลุมอาบน้ำตัวยาวที่สวมอยู่ให้ปิดเข้ามามิดชิดมากขึ้นก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หนังบุสีเข้มคิดสะระตะรอเวลาให้เจ้าของห้องกลับมาถึง

ลูน่าข้ามไปยังอัลทิสเซียแล้วด้วยการคุ้มครองจากเส้นสายเท่าที่เขาจะสามารถหาให้ได้ หากเป็นที่นั่นแล้วจักรวรรดิเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ถ้าเขายังสามารถส่งข้อมูลการเคลื่อนไหวสำคัญๆของทางนี้ไปหาเธอได้เป็นระยะเธอก็จะปลอดภัย อย่างน้อยก็นานมากพอที่พวกน็อคทิสจะเดินทางไปหาได้

…คงได้แต่เชื่อใจเจ้าพวกเด็กกะโปโลนั่นแล้ว…

คิดยังไงก็ไม่ชอบใจเลยซักนิดที่จะต้องทนวางใจในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ซ้ำแล้วยังเป็นคนที่ตัวเองไม่ค่อยชอบหน้าอีกต่างหาก เรวุสถอนหายใจอีกพร้อมๆกับที่ได้ยินเสียงเปิดประตูจากห้องอาบน้ำส่วนตัวด้านใน

“ถอนหายใจบ่อยแบบนี้เดี๋ยวก็แก่เร็วกันพอดี” เสียงระรื่นของเจ้าของห้องทักขึ้นยิ่งทำให้คิ้วของเขาขมวดหนักขึ้นอีก

อาร์ดีนสาวเท้าเข้าหาเสื้อคลุมอาบน้ำสีดำที่ดูหลุดรุ่ยนั่นยังคงชื้นเปียก หยดน้ำร่วงลงจากปอยผมที่ยังไม่แห้งดีต้องโดนหน้าของเขาเมื่อร่างของที่ปรึกษาโน้มค้ำลงเหนือนเก้าอี้ที่อดีตองค์ชายนั่งอยู่

“แปลกใจจริงเชียวฉันนึกว่าเธอจะหนีไปแล้วซะอีก”

“ตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรือไง”

“เธอที่จริงจังแบบนี้ฉันก็ชอบนะ” รอยยิ้มแต้มขึ้นที่มุมปากคนสูงวัย ใบหน้าใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน เรวุสหรุบตาไม่เอ่ยอะไรตอบคำเย้าแหย่นั่น ดวงตาสีทองหรี่มองปฏิกริยานั้นแล้วจึงตัดสินใจแนบจุมพิตลงบนริมฝีปากสีอ่อน “ถ้าอย่างนั้นฉันขอรับข้อแลกเปลี่ยนของวันนี้ไปเลยแล้วกัน”

อดีตองค์ชายแนบริมฝีปากตอบอย่างเงอะเงิ่น หัวใจชาปลาบ

…………………………………………………

เรวุสจรดปากการ่างจดหมาย เสียงกระทบระหว่างปลายปากกากับผิวกระดาษดังเป็นระยะ เขาไล่เรียงข้อมูลสำคัญที่ได้มาในหัว แต่อาการเจ็บแปลบที่บั้นเอวก็ทำเอาต้องขมวดคิ้วกับทั้งความรู้สึกและที่มาของมันอย่างช่วยไม่ได้

…ข้อตกลงระหว่างพวกเขา…

แน่นอนว่าอาร์ดีนเป็นคนคิดข้อเสนอนี้ ที่ปรึกษาจอมเจ้าเล่ห์พูดขึ้นหลังจากสำรวจร่างกายของเขาเอาตามใจในคืนแรก เรวุสจะต้องยอม ‘ถูกสำรวจ’ หนึ่งครั้งแรกกับการที่เขาจะมีโอกาสได้ลงมือ ‘ฆ่า’ และถามคำถามอะไรก็ได้จากอาร์ดีนหนึ่งครั้ง

อดีตองค์ชายไม่ได้สนใจเรื่องการมีโอกาสฆ่าอีกคนเท่าไหร่นักเมื่อได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าในคืนนั้นและพบว่ามันเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เปล่าประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ทำให้เขาหยุดชั่งใจและยอมตกลงคือคำถามอะไรก็ได้ที่อีกฝ่ายจะยอมตอบเขาต่างหาก มันทำให้การติดตามการเคลื่อนไหวของจักรวรรดิง่ายขึ้นจมหู

…และนั่นหมายความว่าความปลอดภัยของลูน่าเองก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

เขาคิดว่าอาร์ดีนรู้ดีถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการกระทำของเขา เพราะแบบนั้นจึงได้ยื่นข้อเสนอนี้มา ทั้งการยอมให้เขาฆ่าและการมอบข้อมูลอย่างไร้ข้อแม้ก็ด้วย สิ่งเดียวที่เขาข้องใจในตอนนี้กลับเป็นความต้องการที่แท้จริงของฝ่ายนั้นต่างหาก เรวุสนึกไม่ออกว่าอาร์ดีนได้อะไรจากการยื่นข้อเสนอนี้ นอกจากการบั่นทอนศักดิ์ศรีและการย้ำให้รู้ถึงจุดยืนของเขา

สำหรับอดีตองค์ชายแล้วเขาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจของเขามากทีเดียว เพียงแต่การกระทำนั้นก็ยังคงไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับอาร์ดีนเลยแม้แต่น้อย

…หรือแค่อยากจะเล่นสนุก…

นี่เป็นสิ่งเดียวที่เรวุสนึกออกจริงๆ ได้แต่คิดว่าจะเพราะอะไรก็ช่างขอเพียงมันเป็นโอกาสที่จะก่อประโยชน์ให้เขาได้ก็พอแล้ว

…………………………………………………

การกระทำของอาร์ดีนนั้นประหลาดเสมอในสายตาของเรวุส ชายหนุ่มรู้สึกว่ามักจะมีเบื้องหลังอะไรเสมอในแผนการนั้น แต่บางครั้งมันก็เป็นเพียงการทำเพื่อฆ่าเวลาหรือแก้เบื่อบางอย่างเท่านั้น

ครั้งนี้ก็ด้วยอาร์ดีนยึดเอารถของพวกน็อคทิสมาเก็บไว้ที่ฐานของจักรวรรดิหลังจากพาพวกนั้นไปหาอาร์เคเอียนเพื่อดึงเอาพลังจากสุสานกษัตริย์ที่อยู่ที่นั่น

อดีตองค์ชายได้ยินข้อมูลนั่นในคืนหลังจากที่ที่ปรึกษาจอมวุ่นวายหายออกจากนิฟเฟิลไฮม์ไปโดยไม่บอกใคร อันที่จริงเขาจะถามหาเหตุผลให้หายข้องใจก็ได้ แต่เขาก็คิดว่ามันไม่คุ้มค่ากับการถูกสำรวจเพิ่มเติมซักเท่าไหร่นักจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไป

เรวุสมารอพวกน็อคทิสอยู่ในฐานที่เรกาเลียจอดได้คืนนึงแล้วเพราะคิดว่ายังไงพวกนั้นก็จะต้องมาเอารถคันนี้คืนอย่างแน่นอน ปลายเล็บเหล็กเคาะด้ามดาบเบาๆพลางใช้ความคิด ถ้าเป็นไปได้นี่อาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ส่งมอบดาบที่เก็บมาต่อให้กับเจ้าของที่ถูกควรของมัน ติดเสียแต่ว่าอาร์ดีนเองก็อยู่ที่นี่ด้วยและมันอาจไม่เป็นการดีนักหากเขาจะทำอะไรที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการช่วยเหลือศัตรู

ที่สำคัญการวางตัวของเขาเองก็ทำให้อะไรๆยากขึ้นไม่น้อย ไม่มีทางที่พวกน็อคทิสจะยอมเชื่อใจเขามากพอ การโผล่ออกไปแล้วยื่นดาบนั่นให้ก็ดูจะโผงผางเกินไปไม่น้อย

ร่างสูงโปร่งหลับตาลงเอนหลังทิ้งน้ำหนักกับเบาะเก้าอี้นอนผ่อนลมหายใจเหนื่อยหน่าย

“โอ๊ะโอ ฉันมาขัดจังหวะตอนเธอกำลังใช้สมองพอดีเลยสิ” ผู้มาเยือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวนเหมือนเคย เรวุสยังคงค้างนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ได้สนใจแม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองด้วยซ้ำ ชินชากับการผลุบๆโผล่ๆโดยไม่ให้สัญญาณของอีกคนไปแล้ว

‘ขนาดตอนนี้เองจะอยู่ๆหายไปหรือเดินทะลุกำแพงเข้ามาก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจแล้วล่ะมั้งนะ’

คนสูงวัยกว่าไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น แต่เดินมาทิ้งตัวนั่งเกยกับที่เท้าแขนแล้วโน้มตัวลงมาคร่อมร่างท่อนบนของเขาเอาไว้ “เหมือนได้เห็นหน้าเธอตอนหลับเลยนะ แบบนี้ก็น่ารักดี”

คิ้วมุ่นเป็นปมแน่นดวงตาสองสีดุดันจ้องเขม็งตอบดวงตาสีทองในระยะประชิด “รู้ว่ามาขัดจังหวะก็ออกไป วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาทำตามข้อตกลงอะไรของนายหรอกนะ”

“ถ้าวันไหนเธอมีอารมณ์ขึ้นมาก่อนฉันคงแปลกใจน่าดู”

“….”

ใบหน้าด้านบนเคลื่อนเข้าใกล้ขึ้นอีกแนบจูบแผ่วๆกับริมฝีปากของเขาก่อนจะกดแนบบเข้ามาหนักขึ้น ลึกซึ้งขึ้นเหมือนรอคำอนุญาต แต่เมื่อปลายลิ้นอุ่นชื้นดุนดันเข้ามาเขาก็งับมันเข้าเต็มแรงจนคนที่กำลังรุกอยู่ต้องยอมผละออกไป

รสเลือดเค็มปร่ายังติดที่ปลายลิ้น “บอกว่า ‘ไม่’ ไง”

ที่ปรึกษายกมือยอมแพ้ ใช้นิ้วโป้งปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก “อุตส่าห์คิดว่านานๆทีได้เปลี่ยนที่ก็เร้าใจดีเหมือนกันแท้ๆ” เสียงทุ้มๆหัวเราะร่วนในคอ ไม่ได้มีทีท่าเจ็บปวดกับบาดแผลแม้แต่นิด

เรวุสไม่ขยับออกจากที่ เขาเพียงแค่ถอนหายใจและหันใบหน้าหนีไปอีกทาง ในขณะที่คนตัวโตกว่ายังนั่งฮัมเพลงไม่เขยื้อนไปไหนอยู่ที่เดิม

“ไม่มีอะไรจะทำหรือไง?”

“ก็อะไรที่คิดจะทำโดนสะกัดดาวรุ่งไปแล้วนี่น้า” คนตอบยืดตัวเอนหลังทิ้งตัวลงนอนทับคนที่นอนนิ่งไม่ให้ความร่วมมือบนเก้าอี้ จากขนาดตัวของอาร์ดีนแล้วท่านี้ไม่ได้สบายเอาซะเลยแถมยังดูเกะกะระรานอีกต่างหาก แต่เจ้าตัวกลับยังยืนยันที่จะไม่ขยับตัวด้วยการนอนอยู่แบบนั้น

…อันที่จริงก็เกะกะระรานจริงๆนั่นล่ะ…

“หนัก ออกไป” เรวุสรู้สึกตัวแล้วว่าพออยู่ในท่านี้ทั้งแขนทั้งมือก็พลอยอยู่ใต้ร่างหนาหนักนั่นด้วย

“ฉันนึกว่าวันนี้เธอน่าจะมีอะไรอยากถามฉันแท้ๆ”

“ไม่มี” หรืออันที่จริงคือมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้

“แต่ฉันมีอะไรที่คิดว่าเธอน่าจะอยากรู้ซะอีก”

“อะไร?”

“ชู่ว์” อาร์ดีนจุ๊ปากแตะปลายนิ้วกับริมฝีปากบางๆนั่น “แบบนี้ก็เท่ากับเธอยอมใช้โควต้าของวันนี้แล้วนะ”

เรวุสจ้องคนช่างแหย่เขม็ง ไม่พอใจที่อีกคนรู้วิธีหลอกล่อเขาได้ชะงัดนัก “เหตุผลที่นายยื่นมือเข้าไปช่วยพวกน็อคทิสคืออะไรกันแน่?”

ที่ปรึกษายิ้มพรายขยับตัวนิดหน่อยหันไปสบสายตากับเจ้าของตักที่เขานอนทับอยู่ “นั่นเป็นคำถามที่ต้องการ ‘คำตอบ’ รึเปล่าล่ะ?”

คำถามที่โต้กลับมาทำให้อดีตองค์ชายได้แต่ครางอย่างไม่สบอารมณ์ในคอ ขยับกายท่อนบนโน้มใบหน้าเข้าหาคนทำหน้าทะเล้น แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ที่ปรึกษาคนสำคัญต้องการอีกตามเคย

…………………………………………………

เสียงอึกทึกปลุกให้เรวุสตื่นขึ้นในตอนเกือบรุ่งสาง เขารุดขึ้นแต่งตัวความเจ็บที่สะโพกแล่นริ้วขึ้นมาชวนให้หงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอาร์ดีนหวังจะประเมิณความสามารถบางอย่างของพวกน็อคทิส เพื่อดูให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มคือราชาคนต่อไปที่เหมาะสมกับแหวนลูซิไอจริงหรือเปล่า

ตามความเห็นของเขาประกอบกับความอึกทึกนี้แล้วสี่คนนั้นก็ยังเด็กและห่างชั้นอยู่มากเมื่อเทียบกับจักรวรรดิ เพราะแบบนั้นเรวุสจึงเลือกจะเก็บดาบของเรจิสไว้ก่อนและนำดาบเล่มเดิมของตนติดตัวออกไปแทน หากน็อคทิสเหมาะสมจริงเขาเองก็อยากพิสูจน์ด้วยสองมือของตนเช่นกัน

อาทิตย์ขึ้นแล้วเขามองเห็นพวกน็อคทิสจากที่ไกลๆมุ่งตรงมายังเรกาเลีย ด้วยกำลังของคนแค่สี่คนแล้วการทำลายฐานทัพแห่งหนึ่งลงได้อย่างง่ายดายก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจพอควร แต่หากนับว่านี่เป็นการลอบโจมตีแล้วความอึกทึกนี่ก็ยังแสดงให้เห็นความอ่อนด้อยเหลือเกินนั่น

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะน็อคทิส” เขาสาวเท้าตรงไปทางเรกาเลีย สีหน้าตื่นตกใจที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีคนเดินเข้ามาจากข้างหลังก็ยิ่งทำให้เรวุสหงุดหงิดขึ้นอีกไม่นับการที่เขาไม่ได้ชอบคู่สนทนานักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“เรวุส..”

“ได้รับพรจากพายุมาแล้วนี่..” อดีตองค์ชายเอ่ยด้วยเสียงขุ่นข้อง ตวัดปลายดาบขึ้นจ่อคอคู่สนทนา “…ทั้งๆแบบนั้นแต่กลับไม่รู้เลยซักนิดว่ามันจะส่งผลอะไรบ้าง”

“เฮ่ย!”กลาดิโอ้ตะเบ็งเสียงเบียดตัวเข้ามาขวาง ไม่ยากเลยกับการบุ่มบ่ามเช่นนี้ แค่เรวุสเบี่ยงองศาของมือปลายดาบก็แนบเข้ากับลำคอของคนตัวโตอย่างง่ายดาย

“พวกนายเงียบไปซะ” ดาบยังคงจ่อนิ่งอยู่บนลำคอของคนตัวโตในขณะที่กวาดสายตามองอีกสามคน และไปหยุดอยู่ที่น็อคทิส “รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์.. ผู้เปี่ยมด้วยความงดงามและอำนาจอันเหมาะสม..”

แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกได้ว่ากำลังมองคู่สนทนาด้วยสายตาหมิ่นแคลน ไม่เลยน็อคทิสในตอนนี้ยังไม่เหมาะสมกับคำกล่าวเหล่านั้นเลยในสายตามของเขา ทั้งๆที่ลูน่าพยายามขนาดนี้ ดิ้นรนขนาดนี้ เสี่ยงชีวิตหลายครั้งหลายคราขนาดนี้ ตรงไหนของเด็กคนนี้กันที่ทำให้คนสำคัญคนเดียวของเขาต้องทุกข์ทรมานแบบนี้

“แล้วสิ่งที่นายทำอยู่มันดีนักหรือไง!? ตามรับใช้ก้นจักรวรรดิต้อยๆ เพื่อตามล่าลูน่าน่ะเหรอ!?!”

ดวงตาเปลี่ยนสี เร็วกว่าใจคิดเรวุสคว้าเข้าที่ลำคอคนพูดทันที “ฉันไม่ได้รับใช้พวกนั้น!”

…เพื่อเด็กกะโปโลโง่เง่าที่ไม่ได้รู้อะไรเลยซักนิดนี่น่ะเหรอ?…

เป็นกลาดิโอ้ที่เข้ามาขวางอีกครั้ง เขาเลิกคิ้วมอง “โล่แห่งราชันย์เรอะ?”

“เห็นชัดแล้วไม่ใช่รึไง?”

“อ่อนแอขนาดนี้ คิดว่าจะป้องกันอะไรได้กัน!?” เขาเงื้อมเล็งฟาดดาบเต็มแรงด้วยมือข้างเพียงเดียว คนตั้งรับหยุดมันไว้ด้วยดาบใหญ่โต แต่มันไม่ได้ทำให้เรวุสรู้สึกอะไรเลยนอกจากความผิดหวังที่พาลชัดขึ้นอีก

ผิดหวังที่ชีวิตของลูน่าจะต้องขึ้นกับคนอ่อนแอเหล่านี้…

ผิดหวังตัวเองที่คาดหวังมากมายว่าน็อคทิสจะแข็งแกร่งมากพอ…

ผิดหวังที่ตัวเขาเองก็อาจจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้อีกแล้ว…

เสียงดังโครมใหญ่เทื่อเรวุสสะบัดมือครั้งเดียวร่างใหญ่หนาของโล่ห์แห่งราชันย์ก็ลอยปะทะเข้ากับโครงรถเต็มๆ

“เฮ่!! จะมากไปแล้วนะ!” น็อคทิสก้าวออกมารับหน้า อาวุธแห่งกษัตริย์ปรากฏขึ้น ดีเหมือนกันจะได้รู้เสียทีว่านายจะคู่ควรกับมันจริงๆหรือเปล่า ทั้งดาบของเรจิส ทั้งลูน่าและก็ภาระที่จะโถมลงมาต่อจากนี้ก็ด้วย

“ผู้ถูกเลือกจะต้องมาจบชีวิตที่นี่ นี่น่ะเหรอชะตากรรมของโลกใบนี้”
.
.
.
“โอ๊ะๆ ช่วยหยุดไว้ตรงนั้นที” ผู้เข้ามาใหม่ตามด้วยน้ำเสียงคุ้นหูก้าวเข้ามา โบกมือเพียงครั้งอาวุธที่ลอยล้อมรอบน็อคทิสก็หายไป เรวุสสบถกับตัวเองรั้งดาบในมือกลับมาและหันหนีไปทางอื่น

“ไม่เป็นไรนะ?” อาร์ดีนหันไปสนทนากับน็อคทิสด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่อยากได้ยินจากนายหรอก”

“อะไรกันนี่ฉันอุตส่าห์มาช่วยเชียวนา”

“คิดจะทำอะไรของนายน่ะ” อิกนิสแทรกขึ้นมาบ้าง เหมือนจะเอะใจขึ้นมาแล้วว่าคนตรงหน้ามีจะต้องมีบทบาทอะไรบางอย่างจึงทำให้คนอย่างเรวุสยอมลดมือลงได้

“ก็พากองทัพจากไปไง” ตอบราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

“คิดจะให้เราเชื่อง่ายๆรึไง?!”

อาร์ดีนไม่ได้สนใจสียงที่แทรกขึ้นมา แต่พูดต่อไปเรื่อยๆ “เจอกันคราวหน้าก็คนเป็นที่อีกฟากของทะเลแล้วสินะ” หันไปยิ้มให้น็อคทิสที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เรื่องก็ตามนั้นล่ะ พวกเราเองก็มีงานที่จะต้องไปทำเหมือนกัน” น้ำเสียงยียวนทิ้งท้ายก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังสูงโปร่งที่ยืนนิ่งไม่คิดจะร่วมสนทนา “เน้อ?”

ที่ปรึกษาเดินคล้อยไปหาคนที่เริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง ก่อนจะตัดบทลานักเดินทางทั้งสี่ “งั้นก็ลากันแค่นี้แล้วกันนะฝ่าบาท ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”

เรวุสไม่ได้พอใจการขัดจังหวะนี้นักแต่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้แค่เดินออกจากจุดนั้นไปโดยมีชายผมแดงตามมาไม่ห่าง

…เวลาอันเหมาะสมคงยังอีกยาวไกลนัก…

…………………………………………………

[FFXV]Blot ep.4

Pairing : Ardyn/Ravus
Rate : Angst ,Sad Ending
Note : Episode3
Warning: R-18

Episode 4


“ท่านแม่บอกว่าเมื่อโตขึ้น ทุกอย่างในดินแดนนี้จะเป็นของเรา” เด็กน้อยผายมือกว้างใหญ่ เขย่งขาขึ้นสุดตัว ก่อนจะพูดต่อด้วยดวงตาเปล่งประกาย “นั่นรวมถึงเธอด้วยรึเปล่าชายผู้มีดวงตาสีทอง?”

เจ้าของดวงตาหลุดยิ้มเอ็นดู ทรุดตัวลงนั่งชันเข่าลดระยะสายตาระหว่างพวกเขาให้เข้าใกล้กันมาขึ้น “หากทรงเติบใหญ่แล้วไม่เสด็จมาล่ะก็ กระหม่อมจะเป็นฝ่ายไปหาท่านเองเลย”

เจ้าชายตัวน้อยหัวเราะสดใสมือซนคว้าจับเอาเส้นผมยุ่งเหยิงกระเซิงสีไวน์แดง แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ได้ยินเสียงเรียกของสาวรับใช้หน้าตาตื่นที่วิ่งมาแต่ไกล “จะแอบออกมาเล่นนอกวังเองแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ องค์ชายเรวุส!”

ผู้มาใหม่โค้งปะหลกซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ชายแปลกหน้าที่เพียงอมยิ้มตอบ ก่อนจะอุ้มพาเด็กน้อยในมือหายจากไป

…ไม่ใช่ฉันหรอกนะที่เป็นฝ่ายเอื้อมมือไปหาก่อนน่ะ…

…………………………………………………

เสียงดังสวบสาบสะท้อนอยู่ในห้องนอนกว้าง แสงหรุบหรู่ลอดผ่านผ้าม่านหนาหนักพาดลงบนผิวขาวละเอียดกึ่งเปลือย เรวุสบิดกายขึ้นน้อยๆเบี่ยงใบหน้าซุกเข้ากับหมอนเมื่อเสื้อผ้าค่อยๆถูกแหวกออก

ดวงตาสีทองพินิจปฏิกริยานั้นอย่างพึงใจ เห็นได้ชัดถึงความไม่ประสีประสาของคนที่อยู่ในอุ้งมือ พอกระดุมถูกปลดออกจนหมดรอยต่อระหว่างแขนจักรกลกับผิวเนื้อก็เปิดเผยชัด เขากดปลายนิ้วเน้นตรงรอยต่อนั้นไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะโน้มใบหน้าลงฝังรอยฟันบนลาดไหล่ใกล้กับมัน

คนโดนกัดยกมือขึ้นดันที่หน้าท้องของเขาเหมือนต้องการแสดงท่าทีต่อต้าน เส้นผมสีทองซีดจนเกือบขาวนั้นร่วงลงปรกใบหน้าที่ยุ่งเหยิงไม่แพ้กัน ดวงตาสองสีปิดแน่นเมื่ออาร์ดีนลากปลายมือลงมาตามสันโค้งของแนวสอบเอวแล้วรั้งเอากางเกงสีเข้มลง

“ยังไม่ทันทำอะไรเธอก็กลัวขนาดนี้แล้วฉันก็รู้สึกผิดแย่สิ”

“คิดงั้นก็ปล่อย…ฮึก” เสียงขาดห้วงกะทันหันเมื่อมือใหญ่กอบกุมส่วนสำคัญผ่านซับในตัวบาง

“เธอก็ออกจะดูตื่นเต้นดีไม่ใช่เหรอ” เขาเอ่ยเย้าขบงับปลายคางมน กระตุ้นสิ่งที่อยู่ในมือให้มันค่อยๆตื่นพอง

เรวุสคิดจะเถียงแต่กลับทำได้เพียงกลืนเสียงกลับลงไปในคอแล้วพยายามบิดกายเลี่ยงสัมผัสจากมือหยาบใหญ่ เขาไม่ใช่คนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเรื่องแบบนี้ เพียงแค่ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก ยิ่งกับเพศเดียวกันแล้วเขานึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่อยากแต่ก็ต้องยอมรับว่าแม้จะโดยไม่สมยอมแต่คนด้านบนก็ปลุกเร้าเขาได้มากทีเดียว

“จะดีกว่านะถ้าเธอปล่อยตัวตามสบายน่ะ” เจ้าของเรือนผมสีไวน์กดจูบที่ข้างขมับ จัดแจงคลายเสื้อผ้าของตน ถอดถุงมือทิ้ง แล้วถอดกางเกงของคนด้านล่างออก

“ฉ..ฉันไม่..ได้..อยา.ก… ฮะ”

“เธอที่ปากแข็งแบบนี้ก็ดีนะ” ริมฝีปากไล้เลื่อนจากข้างขมับลงมาที่หางตา ก่อนที่จะลอบชิมรสเด็มปร่าของเลือดที่เกิดจากการกัดริมฝีปากจนแน่น

อาร์ดีนละเลียดใช้เวลากับการปลุกอารมณ์คู่นอนมากทีเดียว อย่างน้อยก็มากกว่าที่เรวุสคิด สัมผัสจาบจ้วงจากมือหยาบโลมไล้ไปทั่วร่าง เขาหายใจไม่ออกเมื่อริมฝีปากที่พยายามตะครุบเอาอากาศโดนครอบครองไว้ ร่างกายแสดงปฏิกริยาต่อต้านด้วยการงับปลายลิ้นที่รุกไล่เข้ามา แรงมากพอที่รสเลือดจะซึมซาบไปทั่วโพรงปาก แต่อาจจะไม่มากพอให้คนด้านบนล่าถอย

ปลายลิ้นถูกฉกรัด ขนหลังคอลุกเกรียวขึ้นมาเมื่อลิ้นของอีกคนลากช้าๆบนเพดานปาก ในจังหวะพอดีกับการขยับมือกระตุ้นส่วนกลางกายเบื้องล่าง อดีตองค์ชายได้แต่ปิดตาแน่นส่งเสียงท้วงอื้ออึงในลำคอพยายามกุมหยุดมือนั้นไว้ด้วยมือของตน

สมกับการเป็นนักวางแผนที่ปรึกษารู้ดีว่าควรจะผละห่างเมื่อไหร่ คนสูงวัยกว่ากระตุ้นความต้องการนั้นจนโชกเปียกและปล่อยมือในวินาทีที่เรวุสคิดว่าร่างกายของเขากำลังจะระเบิดแตก

“ฮึก…ฮะ” ริมฝีปากบวมช้ำหอบฮักปรือตามองตามคนล่าถอยอย่างสงสัย กระทั่งเอวของเขาถูกช้อนลอยพร้อมๆกับขาที่ถูกกางออก เมื่อภาพตรงหน้าชัดเต็มตาเขาถึงได้รู้สึกตัวว่าขาของตนกำลังถูกจับให้กระหวัดเกี่ยวโอบแนบกับร่างกึ่งเปลือยของคนด้านบน และสิ่งที่กำลังดุนดันร่องสะโพกของเขาตอนนี้ก็ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากความเป็นชายที่ตื่นตัวคับแน่น

ใบหน้าร้อนผ่าวของเหลวจากแกนกายของตนหยดต้องโดนผิว “ไม่..อย..อย่ามอง” เสียงห้ามสั่นเทาเรวุสพยามยามปกปิดความน่าอายด้วยสองมือและชายเสื้อหลุดรุ่ยของอีกคนที่คว้าเอาไว้ได้

“ไม่ช้าไปหน่อยหรือไง?” คนถูกห้ามหัวเราะในคอ น้ำเสียงกึ่งเอ็นดูที่พูดออกมาต่างกับสายตาโหยกระหายโดยสิ้นเชิงนั่นมากทีเดียว อาร์ดีนห้ามให้ตัวเองหยุดมองไม่ได้เลย ยิ่งอีกคนพยายามซ่อนเขาก็ยิ่งอยากแกล้ง เขาผิวปากหวือลากปลายนิ้วผ่านแผ่นอกกระเพื่อมแผ่ว เกี่ยวเขี่ยปลายยอดอกชูชันเล่นก่อนจะลากเลื้อยขึ้นมาตามท้องแขนหลบความต้องการที่ถูกปิดบังเข้าไปเคล้นคลึงกล้ามเนื้อเกร็งแน่นด้านในต้นขา เมื่อถูกกระตุ้นหนักเข้าคนที่เอาแต่ปฏิเสธก็บดสะโพกเข้าหามือของเขาเองโดยไม่ต้องร้องขอ

หลายครั้งที่อดีตองค์ชายเกือบจะไปถึงฝั่งอยู่รอมร่อแต่คนด้านบนก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้เสียที ร่างทั้งร่างสะดุ้งขึ้นสุดตัวเมื่อของเหลวเย็นลื่นไหลผ่านร่องหลืบด้านหลัง มือกระตุกดึงชายเสื้อในมืออย่างแรงจนได้ยินเสียงปริขาดของด้าย รู้สึกได้ว่ามือหยาบใหญ่นั่นละจากต้นขาลงไปยังเบื้องหลังพร้อมๆกับใบหน้าที่โน้มลงกระซิบ “ขอสำรวจทั้งหมดของเธอเลยก็แล้วกัน”

ปลายนิ้วล่วงล้ำเข้ามาในกายชะโลมเอาของเหลวเย็นชื้นตามเข้ามาด้วย เรวุสเอื้อมมือไปหยุดการกระทำนั้นเล็บจิกแน่นลงบนท่อนแขน ปัดป่ายไปทั่วทั้งยังพยายามอย่างยิ่งที่จะกระถดกายหนีเผชิญกับความรู้สึกตกเป็นเบี้ยล่างอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ยิ่งหนียิ่งถูกตามกระชั้นยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูก ในหูได้ยินเสียงตัวเองปฏิเสธซ้ำๆคลอไปกับเสียงเปียกลื่นในกาย

…ทรมาน…

…สับสน…

…กลัว…

วินาทีแห่งความวุ่นวายเรวุสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้เขาหวาดกลัวได้ขนาดนี้ มือกลของเขาเอื้อมออกเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่ปลายเล็บเหล็กแหลมเกี่ยวเข้ากับลำคอของคนด้านบนตัดผ่านเส้นเลือดแดงราวจงใจ หยดเลือดรินออกหนึ่ง สอง สาม สี่.. ตามด้วยน้ำหนักตัวของที่ปรึกษาที่ทิ้งลงเหมือนหุ่นไร้เชือก

จบ…จบแล้ว

เรวุสหลับตาแน่นหอบหายใจถี่กลั้นใจดันร่างหนาหนักขึ้นให้พ้นกาย ทว่าแทนที่จะหนักอึ้งมันกลับเบาหวือและหยัดตัวขึ้นได้เอง ภาพไม่น่าเชื่อนั้นทำให้ดวงตาสองสีเบิกกว้าง

“โอ๊ะโอ พลาดท่าให้เธอจนได้สิ” อาร์ดีนโคลงศีรษะ ธุลีสีดำเมื่อมลามเข้ามากว่าครึ่งใบหน้า รวมไปถึงเลือดสีแดงฉานที่ระเหยหายเหลือเพียงผิวเรียบเนียนดังเก่า อดีตองค์ชายไม่รู้ว่าตนกำลังอยู่ในเหตุการณ์แบบไหนแต่คนที่คร่อมเขาอยู่ก็ห่างไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่ามนุษย์ หยดเหงื่อซึมผุดบนหน้าเมื่อดวงตาของปีศาจร้ายเคลื่อนเข้ามาจนประชิด “เท่านี้เราก็กุมความลับกันคนละข้อแล้วสิ”

คนพูดไม่รอให้อีกคนได้ทันตระหนักอะไรทั้งนั้น เขาช้อนเอวสอบเพรียวนั่นขึ้นอีกครั้งกระทั้นกายเข้าหา ช่องทางที่ยังไม่ทันคลายตัวดีนั้นทำให้กายของเขาแทรกเข้าไปได้แค่ครึ่ง เสียงครางต่ำเครือในคอเมื่อถูกกล้ามเนื้ออุ่นร้อนโอบรัดเอาไว้แนบแน่น “โทษที เห็นท่าทางตื่นๆของเธอแล้วมันอดใจไม่ไหวน่ะ”

แผ่นหลังคอดแอ่นจากการบุกรุกอย่างกะทันหัน ริมฝีปากอ้าค้างแต่ไม่มีเสียงกรีดร้องใด โลชั่นที่ถูกชะโลมไว้ก่อนหน้าช่วยให้แกนกายร้อนจัดนั่นแทรกเข้ามาได้ง่ายขึ้นทีละน้อย ทว่ามันก็ยังไม่ได้ขยายมากพอที่เรวุสจะไม่รู้สึกเจ็บ คนด้านบนโน้มตัวลงฉวยโอกาสนั้นยัดเยียดจูบลงมาอีกครั้งทำให้ความต้องการประท้วงของเขาเหลือแค่เพียงการจิกมือลงบนแผ่นหลังอีกคน สร้างรอยแผลขึ้นอย่างไร้ประโยชน์

“ฮะ!..ออก..ออกไป…อาร์ดี.น..ออก” เรวุสทั้งดันทั้งผลักแต่ไม่มีอะไรส่งผลแถมยังดูให้ผลตรงข้ามเสียอีก

“มาเรียกชื่อในเวลาแบบนี้ก็ปลุกอารมณ์ฉันแย่สิ หืม?” ไม่พูดเปล่าดุนดันแทรกกายเข้าไปจนลึก เสียงเปียกชื้นหยาบโลนดังขึ้นทุกครั้งที่เขาขยับเคลื่อน

“โรคจิต” ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำข้างหูตอบกลับมาอยากสบถด่าแต่เสียงครางแผ่วที่ทำท่าจะลอดออกมาก็ได้แต่ทำให้เขากัดริมฝีปากตัวเองไว้แทน แกนกายยถูกรูดรั้งพร้อมกับการบุกรุกที่เบื้องหลัง เหมือนผู้กระทำรู้ดีว่าจุดไหนของร่างกายจะปลุกอารมณ์เขาได้ดีที่สุด

ภาพตรงหน้าขาวสะอาดเหลือเกินสำหรับคนที่เห็นแต่ความมืดมิดมาโดยตลอดอย่างอาร์ดีน ยิ่งเมื่อความต้องการพาผลักเอาแสงสว่างนั้นไปสู่ปลายขอบเหวดวงตาคู่นั้นก็ปิดลงแน่น ร่างในอุ้งมือเบี่ยงกายท่อนบนซุกกับเตียงจิกดึงผ้าปูสีสะอาดอย่างอดรนทนไม่ไหว ตำหนิเดียวในสายตาเขามีเพียงแขนกลสีจัดนั่นเท่านั้น

ผมสีไวน์แดงชื้นลู่แนบใบหน้า เขาจับเรียวขาข้างหนึ่งขึ้นพาดไหล่เพื่อให้ตนเองขยับได้ถนัดถนี่และลึกเข้าไปมากยิ่งขึ้น เสียงอู้อี้ที่ได้ยินผ่านหมอนที่อีกคนกัดอยู่บอกได้อย่างดีว่ามีอารมณ์ร่วมแค่ไหน

“จะดีแค่ไหนนะถ้าเธอเป็นคนที่คร่าชีวิตของฉันได้ องค์ชาย”

“..? อ๊ะ..ฮึก…” ท่ามกลางสติสัปปะชัญญะอันน้อยนิด เรวุสหันกลับไปหา ริมฝีปากแดงช้ำที่เผยอขึ้นหมายจะถามโดนช่วงชิงไปอีกในวินาทีสุดท้าย ห้วงอารมณ์ที่ถูกฉุดขึ้นมาจนถึงจุดทำให้เขาตอบรับโอนอ่อนตามจูบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว เริ่มจากการขยับเอียงใบหน้า แนบริมฝีปาก กระหวัดเกี่ยวปลายลิ้นทีละน้อย.. ทีละน้อย…

ความอบอุ่นที่ซ่านขึ้นมาในกายแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวนาทีสุดท้าย แต่มันก็ทำให้เขาเผลอคิดว่าคนคนนี้อาจไม่ได้เลือดเย็นอย่างที่คิด

…หรือไม่นี่ก็อาจเป็นเพียงแผนลวงที่อีกคนสร้างขึ้นเพื่อให้เขาตกหลุมพรางซ้ำแล้วซ้ำอีกก็เท่านั้น…

…………………………………………………

[FFXV]Blot ep.3

Pairing : Ardyn/Ravus
Rate : Angst ,Sad Ending
Note : Episode2

Episode 3


 

ข่าวการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เรจิสและท่านหญิงลูน่ากระจายไปทั่วทุกสารทิศ ดวงตาสีทองปรายมองหนังสือพิมพ์บนโต๊ะด้วยสีหน้าพึงใจ ผิวปากหวือเคาะปลายนิ้วเบาๆกับคางเหมือนกำลังใช้ความคิดกับอะไรบางอย่าง

…………………………………………………

เรวุสฟื้นขึ้นอีกสองวันให้หลังนับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอินซอมเนีย แขนซ้ายหนักอย่างที่ไม่เคยเป็น ไม่ต้องมองก็รู้ว่ามันได้กลายเป็นของจักรกลไปแล้ว

เสียงเครื่องวัดชีพจรดังเบาๆเป็นระยะ เขาชันตัวขึ้นนั่งบนเตียงอ่านข่าวพาดหัวบนหนังสือพิมพ์ที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างเตียงของเขา

อดีตองค์ชายไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ทราบดีอยู่แล้ว เขาลองขยับอวัยวะเทียมที่ถูกต่อเข้ากับร่างของตน นอกจากน้ำหนักที่ผิดไปแล้วมันให้ความรู้สึกสมจริงจนเขานึกแปลกใจทีเดียว

เมื่อไม่มีปัญหาทางกายภาพมือขวาก็เอื้อมเข้ามาปลดสายระโยงระยางชวนรำคาญตาทั้งหมดทิ้งเสียแทน ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าของตนเองมาเปลี่ยนกลับเมินหน่วยพยาบาลที่เข้ามาห้าม แล้วเดินออกมาเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

สิ่งแรกที่เรวุสทำคือการกลับไปยังห้องของตน กลอค่าตายในศึกระหว่างอินซอมเนีย โดยไม่มีข้อข้องใจตำแหน่งนายพลตกอยู่ในมือของเขาแทนที่ ดวงตาสองสีมองดาบของเรจิสบนโต๊ะของตนอย่างสงบ เขาผ่อนลมหายใจรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย

มือกลคว้ามันขึ้นแล้วชักมันออกจากฝัก รับรู้น้ำหนักของมันและความรับผิดชอบอีกสิ่งที่กดลงมาบนบ่า เขาเก็บดาบเข้าฝักวางมันอิงกับโต๊ะในขณะที่ทิ้งตัวลงนั่ง มือข้างถนัดจรดปากกาลงกับผิวกระดาษ เขียนร่างจดหมายถึงใครบางคน

…………………………………………………

การประชุมใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่เขาลืมตาขึ้นมาจบลง เรวุสก้าวไปในโถงทางเดินในหัวเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่ต้องจัดการ ติดเสียแต่ว่าคนที่ตามตอแยเขาอยู่ไม่ห่างนี่ช่างน่ารำคาญเสียเหลือเกิน

“ไม่มีที่ให้ไปหรือไง?” ขาหยุดก้าวเอ่ยไล่ออกมาตรงๆในที่สุดเมื่อสลัดอีกคนไม่พ้นเสียที แต่จะมีก็เพียงเสียงหัวเราะเหมือนไม่สนใจโลกเท่านั้นที่ตอบกลับมา

“ฉันก็แค่มีเรื่องอยากปรึกษานายสองต่อสองเท่านั้นเอง”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆพูด ฉันมีงานต้องไปทำ..”

อาร์ดีนหลุดหัวเราะ “ไม่ขยันเกินไปหน่อยรึไง?” เขายกมือขึ้นโบกไปมาด้วยท่วงท่ายียวน “เป็นเรื่องสำคัญด้วยสิ จะรังเกียจรึเปล่าล่ะหากจะเชิญไปคุยในที่ลับตาเสียหน่อย”

คนฟังได้แต่ถอนหายใจ คิ้วนั้นขมวดชนจนแทบจะเป็นปม “ยุ่งยากอะไรนักหนา”

เรื่องที่ต้องจัดการในหัวกระจายออกไปชั่วคราวเมื่อประตูห้องของที่ปรึกษาปิดลง เรวุสยืนกอดอกรอฟังว่าเรื่องอะไรกันนักหนาที่ทำให้เขาต้องหลวมตัวเดินตามอีกฝ่ายเข้ามาจนถึงห้องนอนแบบนี้

จริงอยู่ที่ว่ามีทั้งโต๊ะทำงานที่เอกสารมากมายวางกระจายเกลื่อนและเก้าอี้สำหรับแขกที่อยู่ในห้องด้วย แต่ห้องนอนก็คือห้องนอนมันทำให้อดีตองค์ชายวางตัวไม่ถูก เขาจึงได้แต่ยืนกอดอกนิ่งอยู่กลางห้อง

เจ้าของสถานที่อมยิ้มกับท่าทางนั้นเหลือบตามองคว้าเอาแก้วสองใบรินไวน์ให้ตนเองและผู้มาเยือน ก่อนจะจับมันชนกันเบาๆ “แด่คริสตัลของนิฟเฟิลไฮม์”

อดีตองค์ชายขมวดคิ้วยกไวน์ในมือขึ้นดื่มพรวดเดียวเหมือนต้องการให้มันจบๆไป

“เหมาะกับเธอดีนะดาบนั่น”

“….ต้องการจะพูดอะไรกันแน่”

ที่ปรึกษายกมือยอมแพ้กลั้วหัวเราะ มองสบสายตาหน้ากลัวกลับด้วยท่าทางทะเล้น “ฉันก็แค่สงสัยว่านกน้อยจะบินไปถึงอทิสเซียอย่างปลอดภัยรึเปล่าน้า เท่านั้นเอง”

“…” ดวงตาสองสีดุดันขึ้นอีกเขาไม่ขยับและไม่คิดจะพูดตอบอะไรทั้งนั้น

“หน้าตาน่ากลัวเชียว” อาร์ดีนหัวเราะไหวไหล่กับแรงกดดันที่แผ่ไปทั่ว “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันยังไม่มีธุระกับสาวน้อยเร็ววันนี้หรอก” จรดแก้วไวน์เข้ากับริมฝีปาก ดื่มมันไปหน่อยแล้ววางมันกลับลงบนโต๊ะ

“ธุระที่นายจะสื่อคืออะไรกันแน่?”

เรวุสคลายมือที่กอดอกไว้โดยไม่รู้ตัวลดมือลงไปยังดาบที่ข้างเอว อาร์ดีนอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับท่าทางระแวดระวังสุดตัวนั้น เรวุสรู้ว่าคนตรงหน้ารู้เรื่องทั้งหมดผ่านอะไรบางอย่าง ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเขาเองที่ปล่อยข่าวว่าลูน่าตายไปพร้อมกับเรจิสเพื่อให้คนเบนความสนใจห่างจากเธอ อย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะถึงจุดนัดพบกับพวกน็อคทิสอย่างปลอดภัย

เรื่องราวนั้นมาถึงจุดที่เรวุสไม่อาจเอื้อมมือออกไปได้แล้ว เขาได้แต่หวังว่าพวกน็อคทิสจะมีความพร้อมมากพอที่จะปกป้องน้องสาวของเขาได้ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้คือการส่งจดหมายรายงานความเคลื่อนไหวของอาณาจักรอย่างลับๆให้กับลูน่า

“ธุระของฉันน่ะหรอ?” อาร์ดีนเอื้อมมือออกคว้าไหล่ของเรวุสเหวี่ยงร่างสูงใหญ่นั่นด้วยมือข้างเดียวให้ล้มลงกับเตียงอย่างง่ายดาย เรี่ยวแรงนั้นมากเกินกว่าที่คนถูกเหวี่ยงจะทันตั้งตัว รู้สึกตัวอีกครั้งร่างก็ถูกคร่อมอยู่บนเตียงหลังกว้าง “สำรวจสมบัติไงล่ะ”

เหตุผลนั่นฟังไม่เข้าหูสักนิดคิ้วสีอ่อนจึงได้แต่มุ่นเป็นปมแน่น กระหวัดนึกถึงตอนที่คนตรงหน้าได้อ้างสิทธิ์เหนือทุกอย่างให้เขาฟัง

มาถึงตรงนี้แล้วเรวุสก็พบว่าอาร์ดีนไม่ได้คาดหวังเลยซักนิดว่าเขาจะทำงานที่ได้รัมอบหมายได้สำเร็จ เขาจึงได้แต่สงสัยว่าอะไรกันนักที่ทำให้อาร์ดีนไม่หยุดกับการสั่งให้เขาทำนู่นทำนี่ให้เสียที

“หา?”

อาร์ดีนหลุดหัวเราะพรืด “เป็นปฏิกริยาที่ไม่เซ็กซี่เอาซะเลยน้า”

หน้าอกถูกสัมผัส กระดุมเสื้อของอดีตองค์ชายไล่หลุดเร็วกว่าที่เขาจะทันยันร่างข้างบนออกเสียอีก “หยุดล้อเล่นซักที!!”

ที่ปรึกษาเบี่ยงตัวทันหลบเท้าที่ยกขึ้นหมายจะยันเขาเต็มแรงได้อย่างเฉียดฉิว “โอ๊ะโอ เกือบไปแล้วเชียว” เขาออกอุทานสีหน้าไม่ได้ตกใจเหมือนอย่างที่ปากว่าเลยซักนิด แทนที่จะเลิกการกระทำบ้าๆอาร์ดีนกดเข่าลงบนท่อนขาของเรวุสทิ้งน้ำหนักและแรงมากพอที่จะบังคับไม่ให้มันยกขึ้นได้อีก

คนที่ถูกกดไว้กับเตียงเริ่มทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่แค่ขาแต่มือของเขาก็ถูกตรึงเอาไว้ด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าคนที่ดีแต่ร่อนไปมานั้นมีเรี่ยวแรงมากขนาดนี้ บางทีอาจจะมากกว่าคนที่ฝึกปรือมานานนับปีแบบเขาเสียอีก

“ชู่ว์” ใบหน้าคร้ามคมโน้มลงมาจนลมหายใจไล้อยู่บนหน้า มือในถุงมือครึ่งข้อเกลี่ยลงมาตามโครงหน้าก่อนจะลูบสัมผัสริมฝีปากสีอ่อนอย่างย่ามใจ แล้วจะโดนแนวฟันคมขาวนั่นกัดเข้าเสียเต็มแรง

แทนที่จะชักมือออกอาร์ดีนกลับเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะในคอ มองดูนิ้วของตัวเองที่ถูกกัดจนได้เลือดสลับกับดวงตาสองสีที่ยังผยองหยิ่งเหมือนเคย “ความดื้อของเธอฉันก็ชอบนะ”

“น่าขยะแขยง” รสเลือดที่แตะปลายลิ้นนั้นเค็มปร่า “ต้องการอะไร?”

“ฉันบอกแล้วนี่ว่าจะ ‘สำรวจ’ น่ะ?” อาร์ดีนตอบละมือออกจากริมฝีปากนั้น ป้ายเลือดสีแดงฉานลงบนผิวคอขาวละเอียดผ่านสาบเสื้อที่แหวกออก “สองครั้งแล้วสินะที่เธอทำพลาดน่ะ”

“….” น้ำลายอึกใหญ่ล่วงผ่านคอ นั่นเป็นความจริงที่เรวุสไม่อาจปฏิเสธ

“ฉันอาจจะไม่เคยบอก แต่ฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับสมบัติของฉันซักเท่าไหร่ แต่นี่..” เสียงอธิบายเรียบเรื่อย มือละออกจากลำคอขาวกดเบาๆเข้าที่รอยต่อบนไหล่ซ้าย “มันเป็นรอยที่เด่นมากทีเดียวนะ”

ดวงตาสีทองหรี่ลงแรงกดดันเย็นเยียบแผ่ออกมา เรวุสไม่เคยเห็นอีกคนที่เป็นแบบนี้มาก่อน ไม่อยากจะยอมรับนักแต่ความกลัวก็แนบจับขั้วหัวใจของเขา “ไม่นับน้องสาวเธอที่ก่อเรื่องยุ่งยากซ้ำยังหอบเอาสิ่งที่ควรจะเป็นสมบัติอีกชิ้นของฉันหายไปอีก”

แนวฟันขาวขบเม้มริมฝีปากเมื่ออาร์ดีนเอ่ยจี้จุดสำคัญ “…..แค่อยู่เฉยๆให้นายสำรวจก็พอใช่มั้ย?”

เสียงพูดนั้นเบาจนไม่ได้ยินหากกลับเรียกรอยยิ้มกว้างให้วาดขึ้นบนริมฝีปากผู้เอ่ยอ้างเป็นเจ้าของ

“แบบนี้สิ เด็กดีของฉัน…”

…………………………………………………

[FFXV]Blot ep.2

Pairing : Ardyn/Ravus
Rate : Angst ,Sad Ending
Note : Episode1

Episode 2


 

พิธีทำสนธิสัญญาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มากพอที่จะทำให้อดีตองค์ชายหัวปั่น เขาไม่ค่อยออกคำสั่งหรือแสดงท่าทีบีบบังคับอะไรลูน่ามากนัก แต่เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น จนกว่าพิธีนั่นจะมาถึงเขาไม่อยากจะคลาดสายตาจากเธอเลย

“อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น เธอช่วยอยู่แต่ในนี้ไม่ได้หรือไง”

“ท่านพี่คงไม่เข้าใจ แต่ยังไงฉันก็ต้องออกไปให้ได้”

“ไม่ว่ายังไงเรจิสก็ไม่มีทางรอดอยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่เขาตอบรับการทำสนธิสัญญานั่นล่ะ” ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่น้องสาวของเขาร้อนรนนักหนานั้นเป็นไปด้วยเรื่องอะไร แม้เขาจะไม่ได้มีความสามารถในการทายทัหรืออะไรที่สืบกันมาในสายเลือดของพวกเขาเลยก็ตาม แต่เพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาไม่อาจปล่อยให้ลูน่าทำตามใจได้

..เพราะอะไรบางอย่างกำลังร้องบอกว่าอีกไม่นานเหลือเกินแล้วที่มือของเขาจะไม่สามารถเอื้อมคว้าเธอเอาไว้ได้อีกต่อไป…

‘จักรวรรดิขอทำสนธิสัญญาสงบศึกกับลูซิสผ่านการแต่งงานขององค์ชายน็อคทิสและท่านหญิงลูน่า’ อันที่จริงเรวุสไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเรจิสจะยอมตอบรับแผนลวงที่เห็นกันชัดๆได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ทั้งๆที่อินซอมเนียปราการสุดท้ายไม่ได้มีมาตรการรับมือใดๆ

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือการฆ่าตัวตายชัดๆ มันยากเหลือเกินที่จะมองเป็นอย่างอื่น แต่ทั้งๆแบบนั้นลูน่ากลับดิ้นรนที่จะฝ่าหนีไปยังอินซอมเนียก่อนเวลา และนั่นหมายความว่าเธอจะต้องลงมืออะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมันแน่นอน

“กษัตริย์เรจิสไม่ได้ฆ่าท่านแม่… จักรวรรดิต่างหากที่ทำ เมื่อไหร่ท่านพี่จะให้อภัยเขาเสียที”

เรวุสนิ่งอึ้งไป เขาตัดสินใจตัดบทแล้วเรียกมาเรียมารับลูน่าไปก่อนจะปิดประตูขังเธอเอาไว้แล้วเดินหนีจากจุดนั้น บางทีคงจะเป็นอย่างที่ลูน่าว่า เขาทั้งไม่เข้าใจและไม่อาจให้อภัยเรจิสได้จากสายตาของคนภายนอก ซึ่งก็อาจเป็นเรื่องที่ดีแล้วเมื่อมันเป็นไปตามสิ่งที่เขาพยายามสร้างให้คนอื่นเห็นมาโดยตลอด

เรวุสเดินกลับไปยังห้องส่วนตัวระบายลมหายใจเหนื่อยล้าเสียยาวยืด อดรู้สึกไม่ได้ว่าในใจนึงแล้วมีเพียงลูน่าเท่านั้นที่เขาอยากให้เข้าใจในการกระทำของเขาจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถอธิบายออกไปได้

บางทีความคั่งแค้นเดียวของเขาที่มีต่อเรจิสและน็อคทิสอาจเป็นเรื่องนี้ ลูน่านั้นเข้าใจและเป็นห่วงสองพ่อลูกนั่นมาโดยตลอดแม้จะถูกทอดทิ้งไว้ที่เทเนแบร แต่สิ่งเดียวที่เธอมองเห็นในตัวพี่ชายอย่างเขากลับเป็นความชิงชังในตัวสองคนนั้น

ริมฝีปากหยักรอยยิ้มขื่น ‘ผู้พยากรณ์คงเห็นแค่เหตุการณ์แต่ไม่ได้รวมถึงความรู้สึกเบื้องหลังสินะ’

เสียงเคาะประตูเรียกดังขึ้นและถูกเปิดออกโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของห้องสักนิด เรวุสรู้ทันทีว่าผู้มาเยือนไร้มารยาทนั้นเป็นใคร เขาเบื่อและเหนื่อยเหลือเกินแล้วที่จะเก็บความขุ่นใจเอาไว้กับตัวเมื่ออีกคนเอาแต่ตามตอแยไม่เลิกรา

อาร์ดีนเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนผู้นำของนิฟเฟิลไฮม์ได้หลายวันแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าลูน่าเป็นตัวละครสำคัญในครั้งนี้ อดีตองค์ชายไม่ใคร่พอใจนักเพราะคำอ้างนั้นชัดเจนเหลือเกินว่าไม่ไว้ใจเรื่องนี้กับเขา

ปลายนิ้วไล้ไปตามขอบแก้ว ดวงตาสองสีมองคนหน้าระรื่นที่รุดมาทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามกับเขา “มีธุระอะไรกับทรัพย์สมบัติอีกหรือไง?” เรวุสเปิดประเด็นด้วยถ้อยคำหนักตรง

ดวงตาสีทองเลิกขึ้นอย่างแปลกใจปนขบขัน ชื่นชอบที่ได้เห็นความโกรธาที่มากเสียจนคนที่เอาแต่ทำหน้านิ่งหลุดสำรวมและไม่วางมาดอีกต่อไป

‘..ถ้าทำให้โกรธมากกว่านี้ ต่อไปจะทำหน้าแบบไหนนะ?’

…ลองแหย่ดูซักหน่อยดีกว่า…

“ทะเลาะกับท่านหญิงมาหรือไง?” อาร์ดีนถามเข้าเป้า ยกปลายยนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีปากเมื่อเห็นอีกคนชันตัวขึ้นมามองหน้าเขาตรงๆ “โอ๊ะโอ ถูกซะด้วย อืม…ขอฉันทายหน่อยสิ”

“ถ้าหากไม่มีธุระอะไรก็ขอเชิญออ–..”

“น้องสาวสุดที่รักช่างดื้อดึงและไม่เข้าใจเธอเอาเสียเลยสิ?”

คนฟังเบิกตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเป็นปมแน่น ไม่รู้ว่าที่ที่ปรึกษาหลุดออกมานั้นเพราะเจ้าตัวรู้หรือเพียงเดาสุ่มไปเรื่อย “สรุปคือนายไม่ได้มีธุระอะไรใช่มั้ย?”

ชายผมแดงหลุดหัวเราะกับท่าทางบ่ายเบี่ยงที่แสนชัดเจน “ยังเย็นชากับฉันเหมือนเคยเลยนะ”

“…เชิญตามสบายฉันขอตัว” เรวุสหมดความอดทนในที่สุด เมื่อโดนบ่อนทำลายช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับตัวเอง เขาลุกพรวดขึ้นไม่คิดจะสานต่อบทสนทนา

‘ท่าทางจะล้ำเส้นไปนิดแฮะ’

อาร์ดีนเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือคนที่กำลังจะเดินหนี “มาหาเธอจะไม่มีธุระได้ยังไง หือ?”

ดวงตาสองสีมองมือนั่นด้วยสายตาหงุดหงิด ชักข้อมือตนออกแล้วเดินกลับไปทิ้งตัวที่เก่า ประสานมือใต้คางรอฟังธุระที่อีกคนว่าอย่างขุ่นข้อง

ชายผมแดงคว้าปากกาบนโต๊ะมาหมุนเล่นพลางเอ่ยเล่าเหตุการณ์สำคัญด้วยท่าทางกึ่งเล่นกึ่งจริง เรวุสไม่เคยรู้จริงๆว่าเขาควรทำหน้ายังไงในสถานการณ์แบบนี้ ข้อมูลทุกอย่างจากปากที่ปรึกษาทำให้เขาอดทึ่งไม่ได้ในทุกครั้ง ไปพร้อมๆกับความระอาในท่าทีไม่ทุกข์ร้อนนั่นด้วย

หากเป็นอย่างที่ได้ยิน บางทีในตัวพิธีนี่เองที่อาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเขา เรื่องใหญ่จะต้องเกิดขึ้น อาร์ดีนรอบรู้เรื่องจากทางฝั่งลูซิสมากจนน่าสงสัย เขาได้แต่เงียบฟังประเมิณหาสถานการณ์ที่อาจมาตกอยู่ในการควบคุมของเขาเองได้ทุกเมื่อ

อดีตองค์ชายเห็นว่าที่ปรึกษาจอมกะล่อนคนนี้แท้จริงแล้วไม่ได้มีเป้าหมายในการเกื้อหนุนใดๆเลยซักนิดกับจักรวรรดิ เพียงแค่นิฟเฟิลไฮม์มีความสามารถมากพอที่จะทำให้แผนการบางอย่างของอาร์ดีนประสบความสำเร็จได้ก็เท่านั้น

หลังจากคิดอย่างรอบคอบหากแผนดำเนินไปจนสำเร็จจริง ราชาเรจิสจะต้องถูกปลงพระชนม์แน่ไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเหตุนี้ลูน่าจึงหาทางหลบหนีออกจากที่นี่นัก …เพราะแหวนและคริสตัลอาจตกไปอยู่ในมือขอจักรวรรดิ…

ชัดเจนว่ากษัตริย์อีโดลัสประสงค์จะครองแหวนนั่นไว้ในหัตถ์ของตน เมื่อถูกปลงพระชนม์แหวนลูซิไอจะเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้ารุมทึ้ง แล้วคนที่มีสิทธิ์จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากผู้ที่มีโอกาสเข้าไปเหยียบในห้องเซ็นสัญญา

…และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น…

“จะบอกว่าไม่จะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามปล่อยให้แหวนหลุดมือไปงั้นสิ?” เรวุสพูดเสียงเรียบทวนแผนการทั้งหมดของอาร์ดีนในหัว พร้อมๆกับวางสิ่งที่ตนเองต้องการลงไปในช่องว่างเหล่านั้น

“ได้คนหัวไวแบบเธอมาอยู่ข้างๆ แผนการก็ดูง่ายขึ้นเป็นกองทีเดียว” อาร์ดีนโน้มตัวมาข้างหน้าหยุดปากกาที่หมุนเล่นอยู่ในมือ ก่อนจะใช้มันเขี่ยไล้ขึ้นจากลำคอมาจบที่ปลายคางหยิ่งเชิด

เจ้าของดวงตาสองสีผงะถอย แววตาเหยียดหยันชัดเจนแม้อีกคนจะไม่อนาทรใดๆ

“สีหน้าแบบนั้นของเธอฉันก็ชอบ” ริมฝีปากชั่วร้ายหยักยิ้ม

ขยะแขยงเสียเต็มประดา เรวุสระบายลมหายใจหน่ายกระแทกเสียงใส่ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย “หมดเรื่องจะพูดก็ออกไปซักที”

คนถูกไล่หัวเราะขำ หมุนหมวกที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะขึ้นสวม ยอมล่าถอยในที่สุด “ยังไงก็ขัดขวางเจ้าหญิงให้สำเร็จล่ะ”

เสียงกระทบของประตูดังขึ้นพร้อมกับเปลือกตาที่หลุบลง เจ้าของห้องหงายศีรษะอิงพนักเก้าอี้ สมองปวดระบมในทุกความหมาย คาดหวังจากเบื้องลึกให้แผนของตนอยู่ในรูปรอยที่มันควรจะเป็น

…………………………………………………

เหตุการณ์ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ความสูญเสียมากมายเกิดในเสี้ยววินาทีที่ปากกายังไม่ทันจรด คริสตัลตกเป็นของนิฟเฟิลไฮม์ตามแผนการอีโดลัสและอาร์ดีนหายลับไปท่ามกลางกองทัพที่โปรยลงมาราวห่าฝนจากทั่วสารทิศ

ในท้องพระโรงไม่เหลือใครแล้ว มีเพียงเขา เรจิสและนายพลกลอค่า เป็นตามที่อาร์ดีนว่าเรจิสดูอ่อนแรงลงทุกครั้งที่เรียกใช้พลังจากแหวน ถ้าเป็นแบบนั้นหลายปีที่ผ่านมานี่ร่างกายของเขาก็คงทรุดโทรมเต็มทีจากการฝืนใช้พลังเพื่อสร้างบาเรียคุ้มกันอินซอมเนีย

โล่สลายลงจากการปะทะ ดาบเดียวของกลอค่าสะบั้นเอานิ้วพระหัตถ์ทิ้ง ธำมรงค์หลุดปลิว แหวนแห่งกษัตริย์อยู่ตรงหน้าเป็นเรวุสที่คว้ามันไว้ได้

“เรวุสอย่า!”

เจ้าของชื่อกำแหวนในมือแน่นสบพระเนตรกับชายที่เหลือแต่แผ่นหลังทิ้งไว้ในความทรงจำของเขา ความสับสนเดือดดาลปรากฏขึ้นอีก ดวงตาสองสีมองมันนิ่ง พร่างพรูความรู้สึกที่ไม่เคยได้เอ่ย “ฉันสูญเสียทุกอย่าง… แม่ของฉัน เมืองของฉัน สิทธิ์ของฉัน…ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะแหวงวงนี้..”

สายพระเนตรนั้นกึ่งร้องขอกึ่งสงสาร เรวุสตีความว่ามันเป็นความสมเพชที่เรจิสมีให้ หรือไม่ก็คงเป็นเขาเองที่สมเพชชะตาชีวิตของตนและอาณาจักรทั้งอาณาจักรที่ล่มสลายลงเพราะความละโมบในของเล็กจ้อยเช่นนี้

เขามองสบสายพระเนตรนั้นอีกครั้งเดียดฉันท์มันขึ้นมาเพราะมันเป็นสายตาแบบเดียวกับที่ลูน่ามีให้เขา …ความเวทนา… เวทนาที่เขาไม่อาจตีตัวออกจากความเคียดแค้นชิงชัง เป็นความจริงที่เขาพยายามสร้างภาพขึ้นให้คนรอบข้างคิดแบบนั้น แต่ภายใต้ใบหน้าหยิ่งผยองแล้วอะไรบางอย่างข้างในมันก็อดเจ็บขึ้นมาไม่ได้ทุกครั้งที่ได้รับสายตาเช่นนั้นจากลูน่า เรวุสกลิ้งแหวนแห่งลูซิไอไปบนนิ้ว อยากจะรู้นักว่าพลังแบบไหนกันที่สั่นคลอนผู้คนได้ขนาดนี้

…พลังแบบไหนที่พรากทั้งอาณาจักร ครอบครัวแล้วยังผลักให้คนคนเดียวที่เขาอยากปกป้องต้องวิ่งเข้าหาอันตรายด้วยตัวเองแบบนี้…

“…ตอนนี้มันเป็นของฉันแล้ว” ความรู้สึกปนเป ทั้งเดือดดาล ทั้งสมเพช มันค่อยๆเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง แหวนถูกสวมผ่านนิ้วและทุกอย่างรอบกายก็พลันนิ่งงัน

แน่ล่ะแหวนปฏิเสธไม่มีเหตุผลอะไรที่จะได้รับการยอมรับ แต่มันก็ยิ่งทำให้เขาดูน่าสมเพชขึ้นอีก เปลวเพลิงไหม้ลามไปทั่วแขน เขาร้องและล้มลงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส แม้ว่ามันจะหลุดจากนิ้วไปแล้วก็ตาม

เสียงปะทะกันยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในสติอันเลือนลางเขามองเห็นลูน่าที่ช่วยประคองร่างของเรจิสออกไปจากห้อง โดยมีร่างในชุดเกราะแน่นหนักไล่ตามออกไป

เรวุสพยายามรวบรวมสติ ในเมื่อหน้าที่ที่ทุกคนได้รับคือการชิงแหวน สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในตอนนี้ที่เขาคิดได้ก็คือเรจิสจะส่งมอบแหวนให้ลูน่าก่อนที่ตัวเองจะถูกฆ่า และเป้าหมายของกลอค่าจะเบนไปยังน้องสาวของเขาแทน

เสียงครางหนักดังขึ้นในลำคอ เขากรีดร้องออกมา ไม่ใช่เพราะความเจ็บแต่เป็นเพราะโมโหในความโง่ของตัวเอง ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงลูน่าก็จะต้องดิ้นรนมารับแหวนเพื่อนำไปส่งมอบต่อให้น็อคทิส สิ่งที่เขาควรทำคือการหยิบเอาแหวนมื่อมีโอกาสไม่ใช่การทดสอบความใคร่รู้งี่เง่าของตัวเอง

อดีตองค์ชายแบกเอาสังขารร่างที่อ่อนระโหยเต็มที ดาบของเรจิสหล่นอยู่เรวุสคว้ามันขึ้นมาก่อนมุ่งไปตามทิศที่ทุกคนผ่านออกไป ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้วรองค์ไร้ชีพนอนทอดนิ่งท่ามกลางโถงกว้างเพดานสูงสุดตา คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่นเมื่อทรุดกายลงคุกเข่าข้างพระบรมศพ มองดาบในมือของตัวเองที่ช่วยพยุงร่างเอาไว้ไม่ให้กองกับพื้นสลับกับอดีตเจ้าของ

ลูน่าคงนำแหวนออกไปแล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตามออกไปอีก จริงอยู่ที่ว่าเธอตกอยู่ในอันตรายแต่นอีกแง่มุมสำหรับอาร์ดีนแล้วลูน่ายังคงมีประโยชน์กับแผนการอยู่ เพราะแบบนั้นแล้วเรวุสจึงเชื่อว่า ไม่มีทางที่กลอค่าจะทำอันตรายเธอจนถึงชีวิตแน่

…หรือไม่เขาก็คงได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเช่นนั้น…

เขาวางดาบราบไปกับพื้นใช้มือข้างที่ยังขยับไหวปิดเปลือกพระเนตรนั้นลง เอ่ยพึมพำบางเบาให้กับคนที่ไม่มีวันได้ยิน “เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง ด้วยมือของฉัน.. ดาบนี่จะถูกส่งมอบให้กับน็อคทิสแน่นอน…”

“…ฉันขอสาบาน…”

…………………………………………………

[FFXV]Blot ep.1

Pairing : Ardyn/Ravus
Rate : Angst ,Sad Ending
Note : Prologue

Episode 1


เรวุสไม่เข้าใจว่าอาร์ดีนจะมีพิธีรีตรองไปมากมายนักเพื่ออะไร…

อดีตองค์ชายฟังคำเชิญล่อแหลมนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ หากตนเองก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรในการปลีกตัวป็นพิเศษ เขาจึงได้ตอบตกลงไปอย่างเสียไม่ได้ในที่สุด

แม้จะเป็นนอกเวลางานแต่ที่ปรึกษาก็เป็นคนกุมทุกอย่างของกองทัพ เช่นนั้นแล้วถ้านี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เขาเสียอีกที่จะเป็นฝ่ายผิดพลาด

ที่พักของอาร์ดีนนั้นโอ่โถงแต่ก็ดูธรรมดาผิดจากที่คิดไว้พอสมควร เรวุสเคยคิดว่าห้องของที่ปรึกษาระดับสูงจะเวอร์วังหรือตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ฟู่ฟ่ากว่านี้จากการแต่งกายของเจ้าตัว แต่เอาเข้าจริงแล้วของทุกชิ้นก็ดูทันสมัยพอสมควรทีเดียว

ดวงตาสีทองมองคนใคร่รู้อย่างสนใจ เรียกให้คนรับใช้ที่ยืนรออยู่ให้จัดการเตรียมรับรองแขก กินเวลาเพียงอึดใจ พวกเขาทั้งคู่ก็เหลือกันลำพังในห้องอาหารพร้อมด้วยสำรับและแก้วสุรา

เสียงรวบมีดและส้อมดังขึ้นเมื่ออาหารตรงหน้าหมดลง เจ้าของเรือนผมสีไวน์เท้าแขนลงกับโต๊ะโน้มลลำตัวช่วงบนมาด้านหน้า “เป็นยังไง อาหารถูกปากรึเปล่า?”

“ว่าธุระของนายมาได้แล้ว..” เรวุสเลื่อนสายตาขึ้นจ้องตอบ หลีกเลี่ยงการพูดคุยไร้สาระอย่างโจ่งแจ้ง

คนถูกสวนหัวเราะในคอ “หัวแข็งจริงนะ” ดวงตาสีทองหรี่ลงไม่ได้รู้สึกนำพาไปกับความกดดันที่ดวงตาสองสีส่งมาแม้แต่น้อย ซ้ำยังดูรื่นรมย์จนฝ่ายตรงข้ามหงุดหงิดขึ้นมาเสียอีก เช่นนั้นที่ปรึกษาแห่งจักรวรรดิจึงเปิดปากเป็นครั้งแรก

…ครั้งแรกที่เรวุสได้ตระหนักว่าผู้ชายคนนี้เองที่เป็นตัวอันตรายเหลือเกิน…

ขนหลังคอลุกชัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าภายใต้การกระทำทีเล่นทีจริงนั้นจะมีความหมายมากขนาดนี้ ลำดับการที่ถูกเตรียมไว้ทุกอย่างล้วนส่งผล บางทีแม้แต่ราชาของนิฟเฟิลไฮม์เองก็คงเป็นเพียงหุ่นติดใยตัวหนึ่งที่ช่วยให้แผนการรุดไป …แผนการที่มากไปกว่าการถือครองอาณาจักรทั้งมวล…

แผนการทำลายลูซิสกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว..อาณาจักรสุดท้ายที่ยังคงยืนหยัดภายใต้พลังแห่งแหวน

“นายคิดว่าเรจิสจะยอมเซ็นรับข้อตกลงที่แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นกับดักนี่ง่ายๆแบบนั้นเลยรึไง”

อาร์ดีนหัวเราะในคอ “แหวนกำลังกัดกินเขา… นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะต้องตะครุบไว้เชียว”

คนฟังย่นคิ้ว “ดูนายจะรู้เรื่องแหวนนั่นละเอียดทีเดียวนะ” มองดูคู่สนทนาไหวไหล่ราวไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ “..ที่สำคัญจุดไหนกันที่ทำให้ฉันต้องมานั่งฟังนายพรรณนาแผนนี่ในที่’รโหฐาน’ด้วย?”

“เพราะขนิษฐาองค์น้อยของเธอไงล่ะ..” มุมปากยกขึ้นเมื่อสีหน้าของคู่สนทนานั้นอ่านง่ายยิ่งกว่าอะไร

“ลูน่าไม่เกี่ยวอะไรกับสนธิสัญญานี่”

“ไม่เลย เธอเกี่ยว…เกี่ยวมากจนเกินไปเสียด้วย”มือหยาบใหญ่ประสานลองที่ใต้คาง ท่าทางไม่ได้ซีเรียสแต่อย่างใด “ไม่วาจะสืบเชื้อสายมากี่รุ่นต่อกี่รุ่น ผู้พยากรณ์ก็ยังติดนิสัยสอดไม้สอดมือเข้ามายุ่งอยู่เหมือนเคย”

“จะให้ฉันทำอะไร…”

ที่ปรึกษาผิวปากหวือ “สายตาแบบนั้นของเธอฉันก็ชอบนะ”

“อาร์ดีน” เสียงเรียกกดต่ำ หงุดหงิดขึ้นมาจนยากจะเก็บงำอาการ

ใบหน้าของชายวัยกลางคนหลุบต่ำไหล่ไหวโยกเหมือนกำลังกลั้นขำจนทนไม่ไหว “ฉันรู้แล้วว่าเจ้าหญิงสำคัญกับเธอขนาดไหน” คนพูดเอนหลังพิงพนักเก้าอี้สูง มือบนที่วางแขนละขึ้นเท้าคาง วินาทีหนึ่งที่ดวงตาสีทองวาบไหว “แต่ไม่ว่าจะยังไง ทั้งเทเนแบร ท่านหญิงหรือว่าแม้แต่ตัวเธอเอง…”

อาร์ดีนหงายฝ่ามือที่ใช้เท้าคาง ปลายนิ้วชี้ไปยังคู่สนทนา “..ก็ล้วนเป็นสมบัติของฉันนี่นะ” ริมฝีปากยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่คนมองเกลียดเสมอเพราะสัมผัสได้ว่ามันแฝงไปด้วยนัยยะบางอย่าง

เรวุสคิ้วกระตุก เขาแสดงออกทางสีหน้าเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับความเดือดดาลข้างใน ไม่ใช่เรื่องที่ถูกเน้นย้ำว่าตนไม่มีสิทธิ์ในเทเนแบรอีกต่อไป หากเป็นเพราะสิ่งที่อาร์ดีนพูดมีความหมายตรงตามนั้น ไม่ว่าอะไรก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่เจ้าตัวลากให้หมุนวนไปบนกระดาน

…นิฟเฟิลไฮม์และจักรพรรดิเองก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น…

และการที่เจ้าของมีธุระกับทรัพย์สมบัติก็หมายความว่าถึงเวลาจะต้องใช้ประโยชน์อะไรบางอย่าง…

“ลูน่าจะไม่ออกนอกเทเนแบรจนกว่าพิธีเซ็นสนธิสัญญาจะมาถึง จะมีการกักบริเวณและวางเวรยามรอบวังอย่างหนาแน่น” เรวุสพูดเสียงเรียบ ดันตัวลุกจากเก้าอี้ “…ฉันขอรับรอง”

ที่ปรึกษาสบดวงตาที่ปรายเหมือนมองลงจากที่สูงนั้นแล้วยิ้มตาหยี “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เจ้าของดวงตาสองสีไม่รอฟังคำขอบคุณเชิงหยอกเย้านั่น เสียงประตูทึบหนักดังขึ้นก่อนที่น้ำเสียงยียวนนั้นจะทันพูดจบเสียอีก

…………………………………………………

ในรอบหลายเดือนเรวุสย่างเท้ากลับเข้ามาในที่ที่เขาเรียกว่าบ้าน ด้วยธุระที่เจ้าตัวไม่ได้พึงใจเอาเสียเลย

ลูน่ารับฟังเรื่องทั้งหมดด้วยดวงตาสีฟ้าสดเรียบนิ่งที่ทอดลงต่ำ คนพูดคิดว่านี่ก็คงเป็นอีกเรื่องที่ผู้พยากรณ์ล่วงรู้อยู่ก่อนแล้ว อดีตองค์ชายนึกอยากถามหลายต่อหลายครั้ง หากเขาพบว่าแม้จะมีความสามารถในการเห็น แต่เธอก็ไม่อาจควบคุมมันได้ เพราะแบบนั้นสิ่งที่เธอรู้จึงมักถูกหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึง บ่อยครั้งจนเขาเลิกสงสัยมันไปเอง

เรวุสหนักใจและรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ตนเองไม่สามารถควบคุมอะไรได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของน้องสาวของเขา

ท่านหญิงแห่งเทเนแบรอมยิ้มจางพลางวางฝ่ามือลงบนหลังมือผู้เป็นพี่ กุมมันขึ้นด้วยมือเพรียวระหง เรวุสมองการกระทำนั้นเงียบๆเมื่อน้องสาวของเขาไม่ต้องการจะพูดอะไร ดวงตาสีสดคู่นั้นหลุบลงอีกครั้งก่อนที่ใบหน้าจะเบือนขึ้นสบ “ท่านพี่กลับมาพอดี ดอกไม้ที่ปลูกไว้กำลังออกดอกสวยเลย”

คนเพิ่งกลับถูกดึงลุกขึ้น รอยยิ้มอุ่นจางถูกจุดขึ้นง่ายๆบนริมฝีปากเมื่อรุดตามแรงมือนั้นออกจากห้องไป

ทั้งคู่เดินตามโถงทางเดินอย่างคุ้นชินมาจนถึงสวนภายในอาคารดอกไม้สีน้ำเงินสดบานสะพรั่ง หลายคนบอกว่าสีของมันเหมือนดวงตาของลูน่าไม่มีผิด แต่เรวุสกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรจะทอประกายได้เท่าแววตาตอนหัวเราะร่าของน้องสาวเขาอีกแล้ว ทั้งๆแบบนั้นในตอนที่ลูน่ามอบที่คั่นหนังสือที่ทำจากดอกไม้สีสดนั่นให้เขา เขาก็อดมองมันแทนตัวของลูน่าในยามที่ตนไม่ได้กลับบ้านเสียแทน

เรื่องสัพเพเหระถูกหยิบยก มาเรียรินเครื่องดื่มให้คนทั้งคู่เมื่อลูน่าชวนเรวุสให้ไปนั่งเล่นกับเธอที่โต๊ะกลางสวน

“นานเหลือเกินนะคะที่ท่านหญิงท่านชายไม่ได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้”

เรวุสยิ้มจางๆให้กับคำของหญิงชรา “ขอโทษด้วยนะมาเรีย ฉันเองก็คิดถึงรสชาของเธอเหมือนกัน”

เสียงเห่าโฮ่งของสุนัขที่นอนหมอบอยู่ดังขึ้น ไพน่าลุกขึ้นกระดิกหางมองตัดไปยังอีกฟากของสวน ลูน่าทอดสายตามองตามก่อนจะลุกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “อัมบรา!”

สุนัขสีดำวิ่งเข้าหาไถอ้อนที่ขาของหญิงสาวอย่างดีใจ ปล่อยให้เธอหยิบเอาสัมภาระที่มันนำมาด้วย

ดวงตาสองสีเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างของหญิงสาว ดีใจที่เธอยังสามารถแสดงสีหน้ามีความสุขออกมาได้ นึกหวงที่คนที่ทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้นเป็นแค่เด็กกะโปโลที่ยังทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ด้วยซ้ำ

ลูน่าปิดหนังสือเล่มหนาใส่มันลงกระเป๋าคืนให้อัมบราแล้วปล่อยให้มันวิ่งกลับออกไป ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ “ขอโทษนะคะที่เสียงดัง”

เรวุสบอกปัดปฏิเสธ รู้สึกโชคดีที่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าดีใจปนเขินอายเป็นเด็กๆของน้องสาว บรรยากาศและชาในมือพลันอบอุ่นขึ้นอักโข

อีกครั้งที่อดีตองค์ชายแห่งเทเนแบรได้สาบานกับตัวเองว่าไม่ว่าจะด้วยวิธีใดเขาก็ต้องรักษามันไว้ให้ได้

…………………………………………………

[FFXV]Answer

Final FantasyXV Fan Fiction

Pairing : Gladiolus/Ignis

Rate : –

Note : เนื้อเรื่องตอนต่อจาก Question

อิกนิสไม่รู้จักและไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรักใคร่ได้เลย กระทั่งถูกมันดูดดึงเข้าหาจนได้ในวันหนึ่ง
…หรือจะบอกว่าเขาเป็นคนเดินเข้าไปหามันเองก็ไม่ผิดนัก
…พวกเขามีอะไรกันแล้ว… นี่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นและพวกเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดี
อิกนิสยกน้ำอัดลมในมือขึ้นดื่ม รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับรสสัมผัสของมันนัก แต่ก็คงไม่สามารถเทียบได้กับความรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมานั่งในร้านฟาสต์ฟู้ดให้คนตรงหน้าเหม่อจ้องหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
ราชเลขาไม่แน่ใจนักว่าถูกจับจ้องอยู่จริงหรือเปล่าแต่เขาก็หลุบสายตาลงราวกับว่าการทำแบบนั้นจะช่วยให้เขาหลบหนีออกไปจากจุดนั้นได้
กลาดิโอ้ขับรถไปส่งเขาในวันนั้นตามที่ร้องขอ มันยากไม่น้อยที่ต้องเผชิญหน้าเมื่อความทรงจำทุกอย่างยังคงแจ่มชัด
…มีเรื่องมากมายที่สำคัญกว่านี้ มันไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โต เขาควรจะมีสมาธิกว่านี้ ทำตัวให้เป็นธรรมชาติกว่านี้…
เขาพร่ำบอกกับตัวเองเป็นร้อยพันครั้ง เป็นความจริงที่ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นครั้งแรกสำหรับเขา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสำหรับกลาดิโอ้แล้วไม่ใช่ เพราะแบบนั้นอิกนิสจึงไม่ค่อยแน่ใจนักว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาควรจะเรียกว่าอะไรดี
…พวกเราคบกันอยู่รึเปล่านะ?…
จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาดื่มกันซะเยอะ แต่ว่าก็เป็นเขาเองที่ตัดสินใจยอมลงและโอนอ่อนผ่อนตามให้กับสัมผัสนั้น
..เป็นเขาเองที่เคลื่อนเข้าหาใบหน้านั้นก่อน…
แม้หลังจากนั้นพวกเขาจะทำตัวตามปกติกันมาโดยตลอด แต่กลาดิโอ้ก็ปฏิบัติตัวชัดเจนพอสมควรทีเดียว เพราะหลังจากวันนั้นกลาดิโอ้ก็ไม่ได้ยุ่มย่ามหรือไปมีอะไรกับคนอื่นอีก
…อย่างน้อยก็เท่าที่รู้…
‘ปกติคนคบกันเขาทำตัวแบบไหนกันนะ?’
อิกนิสคิดแบบนั้นขึ้นมาเพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน แต่ถ้าหากกลาดิโอ้พยายามทำอะไรให้ชัดเจนแล้วเขาเองก็ควรจะทำด้วยเช่นกัน
‘กินข้าว?’
‘ดูหนัง?’
‘ไปไหนมาไหน?’
…ถ้าอย่างนั้นมันต่างกับที่พวกเขาทำตามปกติตรงไหนล่ะ?…
เขามุ่นหัวคิ้ว สายตาของคนตรงหน้าทำให้คิดอะไรไม่ออกเอาเสียเลย เขาดันเก้าอี้ ยื่นมือไปด้านหน้าโบกเรียกสติ
“กลาดิโอ้…กลาดิโอ้.. เฮ้
…วันนี้กลาดิโอ้ทำตัวแปลกๆ…
และมันก็ไม่ใช่แปลกในทางที่ดีนัก อิกนิสคิดแบบนั้น ยิ่งหลังจากเห็นสภาพหมดเรี่ยวหมดแรงจนน่าตกใจของน็อคทิสก็ยิ่งได้แต่ถอนหายใจ
…หลังจากนี้คงต้องคุยกัน…
ราชเลขากำลังใช้ความคิดหลังจากล้มเลิกความตั้งใจที่จะไล่เจ้าชายจอมขี้เกียจไปอาบน้ำ เขาล้างจานไปเรื่อยก่อนจะรู้สึกได้ถึงสายตาของคนที่มายืนเยื้องอยู่ด้านหลัง
“ไม่ใช่ว่าจะให้หมอนั่นพักต่ออีกหน่อยรึไง?” ตัดสินใจทำลายความเงียบแต่คนด้านหลังก็ดูไม่ได้สนใจจะตอบกลับเลยซักนิด
…หรือว่าเขาไปทำอะไรให้ไม่พอใจเข้ารึเปล่านะ…
อิกนิสคิดแบบนั้นพลางชะลอความเร็วของสิ่งที่ทำอยู่ลงเผื่อว่าเขาจะเพียงเข้าใจอะไรผิด แต่กลาดิโอ้ก็ยืนเงียบอยู่แบบนั้น นานเสียจนเขาต้องหันไปหาเอง
“มีอะไร?”
“นายไม่รู้จริงๆ หรือทำเป็นไม่รู้กันแน่?”
คนฟังเรียบเรียงไม่ถูกเมื่อได้รับคำถามตอบกลับมา แวบนึงที่เขาคิดว่าเข้าใจถึงได้อ้าปากเตรียมจะตอบ แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็ไม่ใช่แบบนั้น สิ่งที่หลุดออกจากปากเขาจึงเป็นแค่เสียงเรียกอ่อนจาง “…กลาดิโอ้”
เจ้าของชื่อเงียบตอบทำให้บรรยากาศยิ่งอึดอัดขึ้นอีก อิกนิสเริ่มมองหาทางหนีโดยไม่รู้ตัว เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ลังเลเลยซักนิดที่จะพุ่งพรวดไปหาคนที่ช่วยทำลายความเงียบลงให้
“เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกน็อค”
องค์ชายผงกหัวตอบอย่างง่วงงุนทั้งๆ ที่ยังเปียกโชกไปทั้งตัว
“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยนอนนะ” พูดต่อระหว่างที่ยังขยับมือเช็ดหัวไปด้วย แม้จะบอกว่าการดูแลน็อคทิสเป็นหน้าที่ของเขา แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่อาจทนปล่อยให้เด็กคนนี้ใช้ชีวิตคนเดียวได้จนต้องลามมาดูแลเกินหน้าที่อยู่เสมอ
…หากก็คงไม่ได้รวมถึงวันนี้…
ราชเลขาถูกประชิดเข้าทางด้านหลัง ไม่เข้าใจนักแต่ก็ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นใคร ยังไม่ทันจะหันไปต่อว่า ของในกระเป๋ากางเกงก็ถูกล้วงออกไปโดยไม่ขอ รู้สึกหมดความอดทนขึ้นมาจนได้ “เล่นอะไรของนาย!?”
“กลับกับฉัน เดี๋ยวนี้”
อิกนิสมุ่นหัวคิ้ว “เป็นอะไรขึ้นมาอีกล่ะ?”
คนถูกถามไม่ตอบแต่คว้ามือของเขาขึ้นแทน “กลาดิโอ้!” อิกนิสเรียกอีกและออกแรงขืนข้อมือแม้จะไม่มีผล
เลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องยอมโดนลากออกไปทั้งๆ แบบนั้นในที่สุด
“ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันรึไง?”
อิกนิสมุ่นหัวคิ้วเมื่อสิ่งที่ได้ตอบกลับมาหลังจากการระเบิดอารมณ์ของตัวเองเป็นเพียงประโยคคำถามที่ไม่อาจอธิบายอะไรได้เลย ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นอีก
“หา? ไม่ใช่นายรึไ-..” เสียงของเขาถูกหยุดเมื่อคนที่ลากเขามาจนถึงห้องนอนจ้องตอบด้วยสายตาน่ากลัว
“ฉันถามว่านายไม่มีอะไรจะพูดกับฉันรึไง อิกนิส”
เจ้าของชื่อถอยหลังหนีแต่ก็ได้แค่ปะทะเข้ากับกำแพงเมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากประตูมากเกินไป ไม่อาจมองตอบแววตาดุดันกลับได้ “ถอยไปนะ…”
“แล้วก็ปล่อยให้นายหนีไปอีกน่ะเหรอ?”
อิกนิสสะดุ้ง ได้เพียงมองตอบคนตรงหน้าอย่างกระอักกระอ่วน อยากจะปฏิเสธว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้น แต่ริมฝีปากก็หนักเสียจนได้แต่นิ่งงัน
“ถ้านายไม่รู้จะพูดอะไร ฉันจะเป็นฝ่ายถามเองก็ได้..”
“กลาดิโอ้…”
ใบหน้าถูกเคลื่อนเข้าใกล้ ดวงตาของเขาถูกตรึง มือสากๆ ลูบใบหน้าไล่จากข้างแก้มจนมาจบลงที่ริมฝีปาก สัมผัสที่ชวนให้เขารู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“นายเองก็รู้สึกใช่มั้ยล่ะ?”
…อะไร นายกำลังหมายถึงอะไร
“บอกไว้ก่อนนะว่า ฉันคิดว่าพวกเราคบกันอยู่” ดวงตาดุดันประชิดเข้าใกล้ขึ้นอีก “และฉันก็ใกล้จะเป็นบ้าเพราะนายอยู่แล้ว…”
อิกนิสอยากจะพูดอะไรหลายอย่าง หากเป็นในสถานการณ์ปกติเขาคงสามารถรักษาความใจเย็นเอาไว้และควานหาคำตอบที่ดีได้มากกว่านี้ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ “ข..ขอโทษ”
“ขอโทษทำไม?” เสียงถามกดลงต่ำ
“ไม่รู้…”
“นายไม่รู้หรือตั้งใจจะไม่รับรู้กันแน่?”
ราชเลขาฟังคำนั้นแล้วได้แต่นิ่งไป ยิ่งถูกกดดันเขาก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก ยิ่งอยากจะหนีหายไปเสียตอนนี้
“กลาดิโอ้ถอย” ตั้งใจจะยกมือขึ้นขวางแต่ก็ถูกมือใหญ่อีกข้างตรึงมันเอาไว้แล้ว
…ไม่เคยรู้สึกถึงแรงกายที่มากกว่าตนชัดเจนขนาดนี้มาก่อน
เจ้าของชื่อไม่ได้ถอยตามที่ถูกบอกแต่เบียดกายแนบขึ้นอีก คราวนี้แนบชิดเสียจนเขาอึดอัด
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“…ฉันอึดอัด”
“ยังไงล่ะ ถ้าฉันถอยนายจะทำอะไร? จะหนีไปอีกแล้วก็กลับไปทำตัวปกติ..”
“จะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจดีน่ะเหรอ?”
“…กลา-”
“เลิกปั่นหัวฉันได้แล้ว”
อิกนิสเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอาแต่ถามแต่กลับไม่เปิดโอกาสให้เขาอธิบายอะไรทั้งนั้นเต็มๆ ตาหวังจะทักท้วง หากใบหน้านั้นก็ใกล้เข้ามาจนเขาพูดอะไรไม่ออกเสียแล้ว
มือที่จับริมฝีปากของเขาอยู่ละออกไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ทว่ามันก็ถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากอุ่นๆ โดยที่เขายังไม่ได้ทัดทานอะไรเลยแม้แต่น้อย ยิ่งสัมผัสแนบลึก ดวงตาของเขาก็ยิ่งเบิกกว้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นหลับแน่นเมื่อมันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มือข้างที่ไม่ได้ถูกกุมไว้ยกขึ้นดันอีกคนออก แต่นอกจากจะกลายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์แล้วลิ้นอุ่นเหลวยังควานกวาดเข้ามาไล่ต้อนเขามากขึ้นอีก
ราชเลขากำลังถูกรุกไล่จนหมดท่า ไม่ควรเลยที่จะรู้สึกแปลกๆ จนแม้แต่ตัวเองก็ไล่ตามไม่ทันแบบนี้ เขาควานหาตะครุบเอาอากาศหายใจ ความรู้สึกกังวลที่โจมตีเข้าอย่างกะทันหันนั้นเริ่มกลับกลายเป็นความหวาดกลัวทีละน้อย
…ความรู้สึกที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากลาดิโอ้จะเป็นผู้มอบให้เขา…
อิกนิสพยายามอีกครั้งที่จะขืนมือข้างถนัดให้กลายเป็นอิสระและสบโอกาสนั้นเมื่ออีกคนเผลอผ่อนแรง มือของเขาฟาดเข้าที่ใบหน้าหล่อคมนั้นเต็มแรงจนใบหน้าของพวกเขาผละหลุดจากกันในที่สุด
เสียงหอบหายใจของตัวเองอื้ออึงเสียจนปวดหู เขายกหลังมือขึ้นเช็ดร่องรอยที่ถูกกลาดิโอ้ยัดเยียดลงบนริมฝีปาก
“งี่เง่ารึไงนายน่ะ?!”
เขามองคนถูกตวาดนิ่งอึ้งไป ดูจะตกใจไม่น้อยที่ถูกเขาตบเสียเต็มแรง เพราะแบบนั้นครั้งนี้จึงต้องเป็นเขาบ้างที่เป็นฝ่ายเอื้อมออกไป
งี่เง่า..
พึมพำย้ำเสียงเบาในคอ มือของเขารั้งเอาท้ายทอยนั้น ดึงโน้มใบหน้าที่เป็นรอยฝ่ามือพาดชัดเข้าหา แล้วแนบจูบด้วยตัวเองอีกครั้งบนริมฝีปากงุนงง
กลาดิโอ้สับสนไปเพียงเสี้ยวนาทีก่อนจะตัดสินใจจูบตอบริมฝีปากนั้นอย่างต้านทานไม่ได้ ร่างของพวกเขาแนบชิดเสียจนได้ยินเสียงเสียดสีของเนื้อผ้า ราชองครักษ์ตอบรับและเริ่มสัมผัสคนในอุ้งมือกลับอย่างตะกรุมตะกราม
อิกนิสพรูลมหายใจเครือไปกับเสียงครางที่หลุดออกจากลำคอ ปล่อยให้สัมผัสนั้นดำเนินอีกพัก ก่อนจะจับหยุดมือที่ตั้งท่าจะปลดกระดุมเสื้อเขาเอาไว้ “ย…หยุด”
คราวนี้มือนั้นล่าถอยออกไปพร้อมกับใบหน้าที่คลอเคลียกันอยู่ ห่างมากพอที่เขาจะเห็นดวงตาสีน้ำตาลแดงที่เขารู้จักดีได้ชัดขึ้น สีหน้าหงอยเหงานั้นทำเอาเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนฝึกสัตว์ตัวโต และมันก็กำลังถูกเขาพรากเอาของที่ต้องการไปต่อตา
แค่นั้นก็หายโกรธเรื่องทั้งหมดเป็นปลิดทิ้ง..
“จะยอมคุยดีๆ ได้รึยัง?” เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบพลางโน้มแนบหน้าผากกับคนตัวโตตรงหน้า
ได้ยินเสียงครางอือต่ำๆ กลับมา อิกนิสได้แค่ตอบท่าทางนั้นด้วยเสียงหัวเราะในคอ …ยิ่งเหมือนสัตว์ตัวโตเข้าไปใหญ่…
เขายกมือขึ้นแตะรอยช้ำบนใบหน้าที่ตัวเองทำ ผิวเนื้อนั่นสะดุ้งเล็กน้อยมันคงเริ่มระบมขึ้นมา “โทษนะ..”
คนถูกตบส่ายหน้า รู้สึกว่าตัวเองอาจจะสมควรโดนแล้ว “..ฉันต่างหาก”
เงียบไปอีกครู่ดวงตาของเคลื่อนเขาขึ้นลง แม้จะใจเย็นลงมากแต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดี คราวนี้กลาดิโอ้ไม่ได้คาดคั้นเขา ดวงตาคู่นั้นมองตอบเฝ้ารอให้เขาพูดอะไรซักอย่าง
“…”
“…”
“ฉัน…”
.
.
ฉันเองก็คิดว่าเราคบกันอยู่…ล่ะมั้ง?”
อิกนิสพูดขึ้น เสียงแผ่วหลังทิ้งช่วงไปเสียหลายนาที กระดากขึ้นมาที่จะต้องสบตอบดวงตาคู่นั้น ริมฝีปากของเขาสั่นเทา ความเงียบที่ตอบกลับมานั้นทำให้รู้ได้ว่ากลาดิโอ้ต้องการให้เขาพูดอะไรมากกว่านี้ อะไรที่ชัดเจนกว่านี้…
เขาลดมือลงบีบกุมมือใหญ่นั้นเบาๆ ด้วยสีหน้าอึกอัก “ต..แต่ฉันไม่รู้..”
“ไม่รู้อะไร?”
“….” ราชเลขาชั่งใจ รู้สึกว่าเรื่องของตัวเองคงน่าหัวเราะไม่น้อยสำหรับคนที่มีประสบการณ์มากมายตรงหน้า “…ไม่รู้”
“ฉันไม่รู้ว่าคนที่คบกันปกติต้องทำยังไง..”
“…..”
“ฉันไม่เคย…” พูดแล้วก็ได้แต่ขบริมฝีปากตัวเองด้วยปลายฟัน “...ไม่เคยคบกับใคร
“….”
“…ไม่เคยชอบใครแบบนี้
ใบหน้าร้อนผ่าว เขารู้สึกได้ชัดเจนเมื่อมันร้อนลามมาจนถึงขอบตา เกาะเกี่ยวปลายนิ้วนั้นเอาไว้แน่นขึ้นอย่างร้องขอ “ช…ช่วย. ช่วยบอกฉันที
ผิดจากที่คาด กลาดิโอ้ไม่ได้หัวเราะแต่นิ่งเงียบไปจนเขาต้องยอมเงยหน้าขึ้นมอง คราวนี้เป็นอีกฝ่ายที่หลบสายตาเขา ใบหน้าหล่อคมนั้นแดงเถือก แดงอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากคนตรงหน้า “กลาดิโอ้…”
เจ้าของชื่อใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดริมฝีปาก มืออีกข้างยกขึ้นเหมือนจะห้ามไม่ให้เขาพูดอะไรต่ออีก
ราชองครักษ์ง่วนกับความคิดในหัวอีกครู่ใหญ่ก่อนสิ่งแรกที่หลุดออกมาจากปากจะ เป็นเสียงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
อิกนิสไม่เข้าใจได้แต่ปล่อยให้อีกคนฝังใบหน้าลงกับไหล่ของเขา
“กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้านายบอกว่าไม่ได้คบกันอยู่จะทำไง…”
“……”
“ถ้าฉันบอกนายให้เร็วกว่านี้ก็คงจะดี..” กลาดิโอ้ลดมือลงเกี่ยวตอบปลายนิ้วนั้น “ฉันก็ไม่เคยทำอะไรไม่ถูกขนาดนี้เหมือนกัน…”
คนฟังรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนแรก แต่ก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่อีกคนพูดไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะแบบนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาในอก มือข้างที่ว่างยกขึ้นสัมผัสเส้นผมสีเข้มอย่างเงอะเงิ่น แนบริมฝีปากเข้าที่ข้างขมับของศีรษะบนไหล่แผ่วเบา
กลาดิโอ้เบี่ยงใบหน้าขึ้นเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ กดลงมา ตอบรับมันด้วยริมฝีปากของตัวเอง ครั้งแรกด้วยสัมผัสที่เหมือนจะขออนุญาต ครั้งที่สองด้วยสัมผัสแผ่วเนิบอย่างแสนโหยหา
อิกนิสตอบรับจูบนั้น พยายามคล้อยตามและปล่อยให้อีกคนกอบเกี่ยวเอาตามใจ จนเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็เหลือเพียงเสียงหอบหายใจที่คั่นกลางระหว่างใบหน้าที่คลอเคลียกัน
“กลาดิโอ้ฉัน…”
ปลายเสียงแผ่วลงแต่เขาทั้งคู่ได้ยินมันชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรซ้ำอีก
…คำตอบที่ชัดเจนที่สุด…

รวมเล่มฟิค Q&A รวมถึงเล่มอื่นๆสามารถสั่งซื้อได้ตามรายละเอียดด้านล่างค่ะ

LINK

[FFXV]Blot

Pairing : Ardyn/Ravus

Rate : Angst ,Sad Ending

Note : ฟิคน่าจะยาวกำหนดการรวมเล่มงาน Comic Avenue

Prologue

….ผู้หาญกล้าเผชิญกับจักรวรรดิจะต้องพบกับจุดจบ…
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรวุสเข้าใจคำกล่าวนั้น และได้ประจักษ์มันด้วยสองตา
…………………………………………….
องค์ชายแห่งเทเนแบรถูกเลี้ยงดูและสั่งสอนมาอย่างสมฐานะ เขาไม่ได้เติบโตมาอย่างอู้ฟู่หรือถือตัวอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ
เรวุสในวัยเด็กนั้นเป็นทั้งองค์ชาย บุตรชายแล้วก็พี่ชายที่ดีด้วย เป็นเด็กชายที่แบกเอาภาระและอนาคตเอาไว้บนบ่าเล็กๆโดยไม่เคยมีข้อข้องใจ
แม้กระทั่งกับคนต่างอาณาจักรที่เข้ามารักษาตัวอยู่เสียนาน เขาก็ให้เกียรติและคิดจริงๆว่าน็อคทิสเป็นน้องชาย และเรจิสก็เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของเขาอีกคน
หากไม่เพราะเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นเสียก่อน…
…ผู้ที่แหวนยอมรับคือผู้ครอบครองพลัง…
ข้อเท็จจริงที่ทุกคนรู้และไฝ่หา แน่นอนว่าจักรวรรดิเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ลูซิสเป็นแค่หนึ่งในไม่กี่เมืองที่ยืนหยัดด้วยตนเองมาได้จนถึงตอนนี้ และสาเหตุหลักนั้นก็มาจากพลังจากแหวนเพียงวงเดียวที่ประดับอยู่บนนิ้วผู้ถือครอง
นิฟเฟิลไฮม์ไม่ลังเลแม้แต่นิดที่จะบุกรุกเข้าเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างเทเนแบร จัดการทุกอย่างที่ขวางหน้าเพียงเพื่อแหวนบนนิ้วพระหัตถ์ของกษัตริย์เรจิส
…วันนั้นที่โลกของเรวุสล่มสลายลงต่อตา…
.
.
เปลวเพลิงโหมไหม้อยู่รอบกาย แต่สิ่งที่ดวงตาสองสีสะท้อนเห็นกลับมีเพียงร่างไร้ชีวิตที่ทอดนิ่งในอ้อมแขน และเสียงร้องขอความช่วยเหลือของตัวเองที่กรีดดังเสียจนปวดหู
ไม่มีปาฏิหาริย์ใดสำหรับเจ้าชายองค์น้อย สิ่งที่เขาเป็นและถูกคาดหวังให้เป็นมาโดยตลอด ทุกอย่างจบสิ้นลงในวินาทีนั้น ด้วยมือของจักรวรรดิกอปรกับความช่วยเหลือที่ไม่มีวันมาถึงจากเรจิสที่หอบพาน็อคทิสหนีหายไปท่ามกลางความโกลาหลโดยไม่เหลียวหลัง
แผ่นหลังที่ห่างออกไปของเรจิสไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากนัก จริงอยู่ที่เขาคั่งแค้นหากมันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว หากถามว่ามันใกล้เคียงกับอะไรที่สุดแล้วก็คงเป็น ‘ความผิดหวัง’ ล่ะมั้ง…
…มันไม่ใช่เรื่องที่ช่วยเหลืออะไรได้..
แม้จะวกกลับมาแล้วยังไงเหรอ ในเมื่อก็มีเพียงร่างไร้ลมหายใจที่ล้มอยู่…
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะหอบพาเด็กสามคนหลบหนีไปตามทาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ตายไปแล้ว
แต่ว่านะ…
…แต่ว่าหากเป็นแหวนที่มีพลังมากมายขนาดนั้นแล้ว มันก็ควรจะช่วยอะไรได้บ้างไม่ใช่เหรอ…
คำถามและความรู้สึกที่ไม่มีทางออกอัดเสียจนเต็มแน่น เรวุสรู้สึกเหมือนมันเป็นลูกโป่งพองลมที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ หากไม่ใช่เพราะมีมือคู่หนึ่งยื่นลงมา
…ลูน่า..น้องสาว..ครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา…
ลูน่าไม่ได้ร้องไห้เสียจนจะเป็นจะตายแบบเขา เรวุสไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะเธอเป็นผู้พยากรณ์ที่ถูกเลือกในคำทำนายอย่างที่ว่ากัน หรือเป็นเพราะว่าเธอเข้มแข็งมากกันแน่
อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้เห็นแต่เขาจำได้ถึงความชื้นเปียกที่ซึมแผ่บนไหล่ของเขาอย่างเงียบงัน
วินาทีนั้นที่เขาบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เขาจะไม่ทำให้ครอบครัวเพียงคนเดียวต้องเสียน้ำตาอีก
……………………….
เรวุสยังเด็ก หากไม่ได้เด็กเสียจนไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะแบบนั้นเขาจึงได้เลือกทางเดินที่ปลอดภัยกับทั้งตัวเขาและลูน่ามากที่สุดในตอนนั้น
…การยอมจำนนให้กับจักรวรรดิ…
มันง่ายกว่าที่จะเรียนรู้ความเป็นไปและตบตาคน โดยการเอาตัวเองไปวางไว้ในมือศัตรู
แม้จะถูกทำลายแต่เทเนแบรก็ยังคงเป็นเทเนแบร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการรักษา เช่นนั้นแล้วทั้งลูน่าและเรวุสจึงยังสามารถเติบโตขึ้นมาได้ตามฐานันดรเดิมของตน เสียแต่มีคำว่าภายใต้จักรวรรดิครอบหัวอยู่ก็เท่านั้น
อดีตองค์ชายคว้าเอายศสูงของกองทัพนิฟเฟิลไฮม์ไว้ได้ หลายคนมองว่าเรวุสได้รับมันมาเพื่อเป็นการรักษาหน้า แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจตราบใดที่มันยังคงพาเขามุ่งไปที่เป้าหมายได้ เขาก็พร้อมที่จะคว้ามันไว้
หากสิ่งที่ขัดหูขัดตาเขานั่นก็ยังคงมีอยู่…
“นี่เธอน่ะ ไม่ให้เกียรติไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยเหรอวันนี้?”
เสียงน่ารำคาญลอยวนเวียนอยู่ข้างหู เรวุสพยายามอย่างมากที่จะไม่ขมวดปลายคิ้วเข้าหากันหลังได้ยินคำถามนั้นเป็นรอบที่สามในห้านาทีที่ผ่านมา
“….” เลือกที่จะเงียบเพราะคร้านจะต่อคำ แต่อีกฝ่ายก็ยังตามมาอย่างไม่ลดละด้วยใบหน้าระรื่น
อาร์ดีน อาซูเนีย…ความขัดตาเพียงหนึ่งเดียวในแผนของเขา ตั้งแต่คลุกคลีกับจักรวรรดิเจ้าของเรือนผมสีไวน์ก็อยู่ในนั้นมาโดยตลอด จนแม้เรวุสจะเข้ามาทำงานแล้ว เจ้าตัวก็ยังดูไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิด ซ้ำยังน่ารำคาญขึ้นอีก
ไม่มีใครรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของที่ปรึกษาคนนี้ แต่แผนการทั้งหลายของนิฟเฟิลไฮม์ก็เต้นอยู่บนฝ่ามือนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เรวุสเดาไม่ออกและไม่เคยรู้ว่าแท้จริงแล้วอาร์ดีนต้องการอะไรจากการกระทำแต่ละอย่างของเจ้าตัว ความไม่รู้นั้นยิ่งทำให้อดีตองค์ชายรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทุกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านผู้การนี่ใจแข็งเสมอเลยน้า” คนพูดถอนหายใจ ไม่ได้ดูเสียดายอย่างที่พูดเท่าไหร่
“ถ้าหากรู้แล้วก็เลิกชักชวนอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานซักที”
“โอ๊ะโอ ยอมพูดแล้ว”
“….” เรวุสครางเสียงต่ำในคอรู้สึกเหมือนถูกลากให้ตามจังหวะไปทั้งๆที่ไม่ได้ยินยอม
อาร์ดีนหัวเราะในคอ “เธอไม่เคยตอบรับคำชวนแล้วรู้ได้ยังไงว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน”
คนฟังมุ่นคิ้วหนักหยุดขาที่กำลังก้าวเดินกอดอกสบกับดวงตาสีทอง
“อย่างนั้นก็พูดธุระของนายมาซะตรงนี้จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
“ก็แค่อยากคุยในที่รโหฐานเสียหน่อย ให้สมกับเป็นเรื่องสำคัญ” คนพูดถอดหมวกออกหมุนมันเล่นบนปลายนิ้ว
“แล้วร้านอาหารมันรโหฐานนักหรือไง”
อาร์ดีนเลิกคิ้วแล้วหัวเราะพรืดออกมา
“ถ้างั้นตอนนี้ ที่ห้องของฉันล่ะเป็นยังไง?”
 

Read more

Question

Final FantasyXV Fan Fiction

Pairing : Gladiolus/Ignis
Rate : –
Note : เนื้อเรื่องตอนต่อจาก Used to จะรวมเล่มวางขาย 28/5 งาน Comic Square บูธ A17-18เนื้อหาตอนจบจะโพสท์หลังจากพ้นวันงานไปแล้วค่ะ

 

อยากรู้นักใครกันที่เป็นคนพูว่า ‘ไม่มีอะไรที่มีครั้งแรกแล้วจะไม่มีครั้งที่สองตามมาหรอก’ เนี่ย!?

กลาดิโอลัสอยากจะทึ้งหัวตัวเอง รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านเหลือเกินในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี่ ส่วนสาเหตุจะมาจากที่ไหนได้หากไม่ใช่คนที่นั่งกินอาหารหน้าตาเฉยอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาในตอนนี้

…พวกเขามีอะไรกันแล้ว… ไม่ว่าจะเพราะดื่มเบียร์เข้าไปเสียเยอะหรือความอยากรู้อยากลองที่มีขึ้นมาเสียเฉยๆ ในตอนนั้นก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้และอิกนิสเองก็คงจะรู้ดีนั้นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาเป็นสิ่งที่เกิดจากการตัดสินใจ ไม่ใช่เป็นเพราะความเมาอย่างแน่นอน

เขาเคยคิดว่าอะไรๆ คงจะดีหากพวกเขาสามารถทำตัวได้ตามปกติหลังจากเหตุการณ์นั้น หรือจะเรียกว่า ‘เคย’ ดีใจที่เป็นเช่นนั้น…

จากวันนั้นเรื่องก็ผ่านมานานเป็นชาติแล้วสำหรับกลาดิโอ้ นานเป็นชาติที่อิกนิสทำตัวปกติเสียจนเป็นเขาเองที่กระอักกระอ่วนขึ้นมา

เช้าวันถัดจากนั้นเขาขับรถไปส่งอิกนิสที่วังตามที่ถูกร้องขอ ในตอนนั้นเขายังคงสัมผัสบรรยากาศผิดแปลกจางๆ ที่เกิดขึ้นได้ระหว่างการเดินทาง ทว่าเมื่อพบกันอีกครั้งอีกฝ่ายก็กลับมาทำตัวตามปกติได้เต็มร้อยเสียแล้ว จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาต้องเผลอตามน้ำไปทั้งๆ แบบนั้น

จากความเห็นของกลาดิโอ้แล้วเขารู้สึกว่าอยากจะทำอะไรให้มันชัดเจนมากขึ้นกว่าความปกติที่แฝงไปด้วยความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ เขาไม่เคยคบหรือมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันมาก่อน จริงอยู่ที่ว่าหากอิกนิสเป็นผู้หญิงอะไรมันคงง่ายขึ้นกว่านี้ แต่กลาดิโอ้ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น เขารู้สึกว่าอิกนิสที่เป็นแบบนี้ดีที่สุดแล้วสำหรับเขา

หากเป็นการมีอะไรกันแล้วจบไปเหมือนที่เคยทำมาโดยตลอด เขาก็คงไม่มานั่งคิดมากหรือสนใจอะไรแบบนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นอิกนิสที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่จะมีสัมพันธ์ข้ามคืนกับใครก็ได้เพียงเพราะความอยากหรือความเมา เขาจึงได้แต่ตั้งคำถามมากมายกับตัวเองในหัว คำถามที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าควรจะถามมันออกไปดีหรือเปล่า..

กลาดิโอ้เลื่อนสายตาขึ้นเท้าคางจ้องมองคนตรงหน้าจัดการอาหารของเจ้าตัวอย่างไม่ปิดบัง พลางใช้ส้อมเขี่ยเศษกระดูกที่ถูกเลาะเนื้อออกเสียจนสะอาดในจาน

‘…ตอนคบกับคนก่อนๆ หมอนี่ก็ทำตัวแบบนี้รึเปล่านะ?…’

‘แต่จะว่าไปก็ไม่เคยเห็น ..หรือจะไม่เคยมี?’

‘อายุเท่านี้แล้ว หน้าตาก็ออกจะดีจะบอกว่าไม่เคยยุ่งกับใคร หรือไม่มีใครมาวุ่นวายด้วยเลยก็จะไม่แปลกไปหน่อยรึไง?’

‘แต่ก็เจอกันทุกวันนี่..ถ้ามีไม่ฉันก็น็อคก็ต้องรู้แน่อยู่แล้วสิ’

‘…’

‘…หรือว่านี่ ครั้งแรกเหรอ?’

 

“..โอ้ …กลาดิโอ้.. เฮ้” มือไวๆ โบกอยู่ที่ตาในระยะประชิดพร้อมกับเสียงเรียก เขาผละใบหน้าออกด้วยแรงสะดุ้ง

“..อ โอ้ส โทษที”

“จ้องอยู่ได้ มีอะไรรึไง?” อิกนิสละมือลงแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม จะบอกว่าถูกจ้องแต่จากท่าทางแล้วเหมือนเจ้าของสายตาจะเหม่อลอยอยู่เสียมากกว่า

กลาดิโอ้เรียกสติกลับ “เปล่า แค่คิดว่าแป๊บๆ ก็จะถึงเวลาไปรับเจ้าน็อคแล้วน่ะ” ทำเป็นเฉไฉไปยังนาฬิกาเรือนโตบนกำแพงด้านหลังอีกฝ่าย อิกนิสเบือนหน้าตามไปมองแล้วยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นเช็คอีกรอบ

“นั่นสิ ออกไปตอนนี้ก็คงจะพอดีโรงเรียนเลิกสินะ” ราชเลขาพยักหน้ารวบอุปกรณ์การกินเก็บเรียบร้อยทั้งๆ ที่เป็นแค่ข้าวของใช้แล้วทิ้งในร้านฟาสต์ฟู้ด ก่อนที่พวกเขาจะพากันไปรับเจ้าชายตามตารางในวันนี้

เป็นอย่างที่คิด น็อคทำหน้าเหม็นเบื่อทันทีที่ก้าวออกจากโรงเรียนมาพบกับรถคันหรูที่จอดแช่อยู่ ซ้ำพวกเขายังอยู่กันพร้อมหน้าเสียอีก เป็นสีหน้าที่เข้าใจง่ายเสียจนเผลอหลุดเสียงหัวเราะในคอ

“ทำหน้าไม่พอใจมาแต่ไกลเชียว”

คนนั่งข้างๆ ยกปลายนิ้วขึ้นดันแว่น “เพิ่งเลิกเรียนก็เหมือนถูกจับเรียนพิเศษต่อเลยแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”

เสียงพูดเรียบเฉยเหมือนเคยนั้นแผ่วอ่อนที่ปลายเสียง กลาดิโอ้เหลือบหางตาขึ้นมองทันเห็นรอยยิ้มจางๆ เข้าพอดี

…ถ้าหมอนี่เข้าใจง่ายได้แค่ครึ่งนึงของน็อค เรื่องคงง่ายกว่านี้จม…

เขาไม่ได้คิดและไม่ได้ถามอะไรต่อ หลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงถอนหายใจหน่ายดังขึ้นจากเบาะหลังตามด้วยเสียงเหวี่ยงประตูปิด

 

“กินเสร็จก็ไปอาบน้ำได้แล้วน็อค” อิกนิสพูดขัดจังหวะคนที่ตั้งท่าจะทิ้งตัวลงกับโซฟาอย่างเหนื่อยล้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าขัดความตั้งใจนั่นไม่ได้เลย

“ขอพักแป๊บเดียวน่า” เจ้าตัวโอด กลาดิโอ้พอจะเข้าใจท่าทางนั้นได้ เพราะเป็นเขาเองที่เหม่อเสียจนเผลอใช้แรงไปมากกว่าปกติตอนฝึกร่างกายวันนี้ ทำให้คุณเจ้าชายต้องทิ้งตัวลงอย่างหมดท่า

“ไม่ต้องเข้มงวดขนาดนั้นก็ได้น่า”

อิกนิสฟังที่เขาพูดแล้วถอนหายใจก่อนจะเปลี่ยนใจหันไปเก็บกวาดจานอาหารบนโต๊ะแทน

เขาเอนตัวแนบร่างเข้ากับโซฟา นึกสงสัยขึ้นมาว่าหากเป็นในช่วงเวลาที่สติสมบูรณ์พร้อมแบบนี้อิกนิสจะยอมลงให้เขาได้อีกเหมือนในตอนนั้นหรือเปล่า

ไวเท่าความคิด เขาโยนคนที่ตัวเองบอกให้พักต่ออีกหน่อยเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตูใส่ ไม่ได้ให้ความสนใจเสียงโวยวายที่ตามมา

กลาดิโอ้สาวเท้ายาวๆ ยืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์วางของ จ้องมองการขยับไหวของแผ่นหลังของคนที่กำลังล้างจานตาไม่กระพริบ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องปิดบังจุดประสงค์ของตนแต่อย่างใด

“ไม่ใช่ว่าจะให้หมอนั่นพักต่ออีกหน่อยรึไง?” อิกนิสเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน แต่เพราะเจ้าตัวยังคงให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำอยู่มากกว่า เขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าราชเลขาเอ่ยเช่นนั้นเพราะต้องการจะถามจริงๆ หรือเพียงแค่อยากเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียนออกไปอีกครั้งกันแน่

เพราะแบบนั้นกลาดิโอ้จึงตอบมันด้วยความเงียบ

“…”

“…”

เมื่อไม่มีเสียงสนทนาจึงมีแค่เสียงน้ำและผิวเซรามิกที่กระทบกันเป็นระยะ จานใบสุดท้ายถูกวางลงบนที่พัก ตามด้วยเสียงถอนหายใจของคนที่หันมาเผชิญหน้ากับเขาในที่สุด

“มีอะไร?”

“นายไม่รู้จริงๆ หรือทำเป็นไม่รู้กันแน่?”

ริมฝีปากของคนถูกตอบด้วยคำถามอ้าออกเหมือนตั้งใจจะพูดสวน แต่ก็เปลี่ยนใจภายในเสี้ยววินาทีถัดมา

“…กลาดิโอ้”

…อะไร? นายตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่…

เจ้าของชื่อตอบกลับด้วยความเงียบอีก เมื่อนั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการได้ยิน จนถึงตอนนี้แล้วอิกนิสคงต้องยอมรับว่าท่าทางนั้นทำให้เขาอึดอัดพอดู ทว่าอะไรบางอย่างก็ทำให้เขายังคงลังเลอยู่เช่นเดิม

มีเสียงดังขึ้นทำลายความเงียบอีกครั้ง คนที่ยืนอึกอักผละตัวออกจากสถานการณ์ด้วยความโล่งใจ ไปหาน็อคทิสที่เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปียกมะล่อกมะแล่กและผ้าขนหนูผืนเดียว

อิกนิสคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กวางมันลงบนศีรษะเปียกซ่ก “เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกน็อค”

น็อคทิสยืนให้อีกคนเช็ดหัวให้อย่างง่วงงุน ไม่ยินดียินร้ายจะตอบอะไรทั้งนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากทิ้งตัวนอนกับพื้นมันซะตรงนี้

“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยนอนนะ”

กลาดิโอ้ยืนมองคนที่หนีจากเขาไปแล้วทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติลงได้ง่ายๆ อย่างหัวเสีย รู้สึกเหมือนถูกทำให้ตกอยู่ในสภาพหมาที่ได้แต่นั่งจ้องอาหารมานานเกินพอ

ไม่กี่ก้าวเขาเข้าประชิดผู้ดูแลรัชทายาทจากทางด้านหลัง ล้วงเอากุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงอีกคนมาในช่วงที่ยังตั้งตัวไม่ติด

อิกนิสละมือจากน็อคหันมามองเขาเต็มตาอีกครั้ง “เล่นอะไรของนาย!?”

“กลับกับฉัน เดี๋ยวนี้”

“เป็นอะไรขึ้นมาอีกล่ะ?”

คนถูกถามรู้ดีว่าถ้ายอมตอบออกไปซะตอนนี้ อีกคนก็จะไหลหลุดมือเขาไปต่อหน้าต่อตาอีก ฉะนั้นแทนที่จะตอบคำถามนั้นด้วยคำพูด เขาจึงคว้าเอาข้อมือของอีกคนและดึงลากออกมา

“กลาดิโอ้!”

อิกนิสออกแรงขืนข้อมือแต่ก็ไม่เป็นผลเอาเสียเลยเมื่อโดนกุมเอาไว้จนเจ็บ

กลาดิโอ้หันไปหาน็อคทิสที่จนขนาดนี้แล้วก็ยังคงยืนง่วงได้อยู่ แล้วดันหน้าผากของคุณเจ้าชายให้เซไปทางห้องนอน “ไว้เจอกันอาทิตย์หน้า” ว่าสั้นๆ ตอบกลับคนที่เดินเซๆ ยกมือโบกหย็อยๆ ให้เขา แล้วลากดึงราชเลขาให้ถลาตามเขาออกไป

 

“เป็นบ้าอะไรของนายกันแน่!?” อิกนิสหลุดออกจากการเกาะกุมในที่สุด หลังโดนลากขึ้นรถยาวมาจนถึงห้องนอนอีกคน

“ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันรึไง?” เจ้าของห้องถามเสียงนิ่ง

“หา? ไม่ใช่นายรึไ-..” เสียงตวาดเงียบลงเมื่อดวงตาสีอมแดงนั้นจ้องนิ่งมาที่เขาและถามย้ำสิ่งเดิมซ้ำอีก

“อิกนิส..”

“อึก…” ราชเลขาก้มหน้าหลบสายตานั่นเมื่อหลังปะทะเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ “ถอยไปนะ”

“แล้วก็ปล่อยให้นายหนีไปอีกน่ะเหรอ?”

อิกนิสสะดุ้งมองตอบคนพูดด้วยสีหน้าเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่ากระทำความผิด

“ถ้านายไม่รู้จะพูดอะไร ฉันจะเป็นฝ่ายถามเองก็ได้..”

“กลาดิโอ้…”

เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้คนเรียก เกลี่ยปลายนิ้วลากสัมผัสผิวแก้มนั้นเรื่อยลงมาจนถึงริมฝีปากแล้วขยี้มันเบาๆ “นายเองก็รู้สึกใช่มั้ยล่ะ?”

“….”

“บอกไว้ก่อนนะว่า ฉันคิดว่าพวกเราคบกันอยู่” ดวงตาใกล้เข้าหากันขึ้นอีก “และฉันก็ใกล้จะเป็นบ้าเพราะนายอยู่แล้ว…”

คนถูกไล่ต้อนได้แต่หรุบเปลือกตาลงต่ำและพึมพำเสียงเบาในคอ “ข..ขอโทษ”  

“ขอโทษทำไม?” เสียงถามกดลงต่ำ

“ไม่รู้…”

“นายไม่รู้หรือตั้งใจจะไม่รับรู้กันแน่?”

“กลาดิโอ้ถอย”

เจ้าของชื่อไม่ถอยและเบียดกายแนบขึ้นอีกคำถามที่ติดค้างอยู่ในหัวผุดขึ้นมากมายกระทั่งเขาเองก็จับต้นชนปลายแทบไม่ถูก เขาไม่เคยรู้ว่าท่าทางไม่เข้าใจของอิกนิสนั้นเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ประสีประสาหรือตั้งใจจะทำเป็นไม่เข้าใจกันแน่ หากเป็นอย่างหลังแล้วเขาเผลอไปเค้นถามเข้าทุกอย่างก็จะพังลงเสียเปล่าๆ

แต่ตอนนี้มันกลับกันแล้ว กลาดิโอ้มาจนถึงจุดที่เขาไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก หากเขาไม่สามารถคุยกับอิกนิสให้รู้เรื่องได้ในวันนี้ เขาก็อาจไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง

ปลายนิ้วของเขายังคงเกลี่ยไล้บนริมฝีปากนิ่ม มืออีกข้างแนบทาบมือของคนตรงหน้ากดตรึงไว้ด้วยเรี่ยวแรงมากพอที่จะยืนยันความตั้งใจของตน

“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“…ฉันอึดอัด”

“ยังไงล่ะ ถ้าฉันถอยนายจะทำอะไร? จะหนีไปอีกแล้วก็กลับไปทำตัวปกติ..”

 

“จะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจดีน่ะเหรอ?”

“…กลา-”

“เลิกปั่นหัวฉันได้แล้ว”

เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ที่อิกนิสยอมสบตากับเจ้าของห้องเข้าตรงๆ ดวงตาดุดันนั้นอยู่ใกล้กว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรกเสียอีก หากตาของเขาก็ต้องเบิกขึ้นกว้างเมื่อมันยังคงเคลื่อนเข้ามาไม่หยุด แนบใกล้เสียจนริมฝีปากของพวกเขาแตะต้องกัน

กลาดิโอ้จูบริมฝีปากนั้นด้วยสัมผัสจาบจ้วงเอาแต่ใจ สัมผัสที่เขารอมานานและไม่อาจทนต่อไปได้อีก มือที่เคยใช้สัมผัสใบหน้าของคนตรงหน้า เลื่อนลงจับเอาปลายคางไม่ให้ขืนหนีเขาไปได้

ปลายลิ้นเหลวดุนดันเข้าไปในโพรงปาก เมื่ออีกคนพยายามตะครุบเอาอากาศหายใจ รุกสำรวจเหมือนต้องการจะประกาศความเป็นเจ้าของเต็มที

อิกนิสกำลังถูกไล่ต้อนเสียจนตั้งตัวไม่ติด ทั้งจากความกดดัน ท่าที รวมไปถึงสัมผัสที่กำลังยัดเยียดเข้ามาอย่างกะทันหันนี้ก็ด้วย ราชเลขาไม่อาจประมวลหาทางออกอะไรได้มากหากยังถูกรุกล้ำอยู่แบบนี้

กลาดิโอ้ไม่ได้ผละถอยแต่ในจังหวะที่เขาจะเปลี่ยนมุมใบหน้า แรงที่ตรึงมือนั้นไว้ก็ลดลง อิกนิสสบโอกาสนั้นขืนข้อมือออกจากมือของเขา อาจเพราะอยู่ในระยะประชิด การง้างหมัดจึงทำได้ยากกว่าที่คิด ฝ่ามือของราชเลขาจึงฟาดเข้าที่ใบหน้าของเขาดังฉาดใหญ่…

ทุกอย่างนิ่งงันไปชั่วครู่ มีเพียงเสียงหอบหายใจหน่วงจากริมฝีปากบวมแดง

 

“งี่เง่ารึไงนายน่ะ?!”

.

.

.

…นี่น่ะเหรอ ‘คำตอบของนาย’

 

 

 

 

White

ff16-1

Final FantasyXV Fan Fiction

Title : White
Pairing : Ardyn/Revus
Rate : –

ดวงตาสีทองเบิกโพลง เป็นอีกครั้งของการลืมตาที่เขาพบตัวเองอยู่ท่ามกลางเตียงหลังกว้าง

…วันนี้ก็ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว…

นานกี่ช่วงชีวิตเขาไม่อาจบอก เพียงแค่มันนานเหลือเกินจนชวนสงสัยว่าตัวเองจะมีโอกาสหลับและหายไปได้เฉยๆบ้างรึเปล่า

“คิดอะไรไร้สาระจังน้า” พึมพำกับตัวเองพลางหยิบโค้ทตัวเก่งขึ้นสวม ปลายนิ้วเกี่ยวเอาหมวกสีเข้มที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะ หมุนมันขึ้นฝ่ามืออย่างชำนิชำนาญและวางสวมบนศีรษะ เริ่มอีกวันในฐานะที่ปรึกษาหลักแห่งนิฟเฟิลไฮม์

………………………………………..

…เขาอาศัยอยู่ในความมืดมิด เพียงเฝ้ารอให้วันเวลานั้นมาถึงอย่างเงียบงัน…

อาร์ดีนผิวปากหวือ อารมณ์ดีเมื่อเทียบกับหลายช่วงชีวิตที่ผ่านมา มองดูทุกอย่างเต้นตามการคาดเดาบนฝ่ามือของตน

ความมืดกำลังเริ่มแผ่ขยาย และจะมากขึ้น มากขึ้น กระทั่งจุดจบของโลกมาถึง

ฝ่ามือกำเข้า สุนทรีย์รมณ์ของเขาสะดุดไปหน่อยเมื่อผู้มาใหม่ก้าวเข้าสู่ท้องพระโรง หากก็เป็นเพียงเสี้ยงงินาทีเท่านั้น

…เรวุส พี่ชายของท่านหญิงลูน่า เฟรย่า

คนตรงหน้าเพิ่งไต่เต้าขึ้นมารับหน้าที่อย่างเต็มตัวได้เมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ดึงเอาความสนใจของเขาไปวนรอบตัวได้เสียเกือบหมด

การประชุมประจำสัปดาห์จบลงอีกครั้งทุกคนต่างแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ อาร์ดีนไม่ลังเลที่จะเดินไปเย้าแหย่เรวุสเหมือนเคย

สนุกที่ได้ใบหน้าเย็นชานั่นแสดงความไม่พอใจไปพร้อมกับท่าทางรับมือไม่ถูก เมื่อทุกครั้งมันยากที่จะบอกได้ว่าอาร์ดีนนั้นตั้งใจจะหยอกล้อหรือทำไปด้วยเจตนากันแน่

“ไม่มีที่ให้ไปหรือไง?” เรวุสเอ่ยไล่ออกมาตรงๆในที่สุดเมื่อสลัดอีกคนไม่พ้นเสียที แต่จะมีก็เพียงเสียงหัวเราะเหมือนไม่สนใจโลกเท่านั้นที่ตอบกลับมา

“ฉันก็แค่มีเรื่องอยากปรึกษานายสองต่อสองเท่านั้นเอง”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆพูด ฉันมีงานต้องไปทำ..”

อาร์ดีนหลุดหัวเราะ “ไม่ขยันเกินไปหน่อยรึไง?” เขายกมือขึ้นโบกไปมาด้วยท่วงท่ายียวน “เป็นเรื่องสำคัญด้วยสิ จะรังเกียจรึเปล่าล่ะหากจะเชิญไปคุยในที่ลับตาเสียหน่อย”

เรวุสได้แต่ถอนหายใจ คิ้วนั้นขมวดชนจนแทบจะเป็นปม “ยุ่งยากอะไรนักหนา”

คนชวนมองออกว่านั่นคือการตกลง เพราะการแสดงออกของอีกคนซื่อตรงเสมอ …และเพราะแบบนี้มันถึงได้สนุกเหลือเกิน…

อาร์ดีนเดินนำเรวุสไปที่ห้องของตนเพราะมันใกล้กับจุดที่พวกเขาอยู่ และคนเดินตามก็เข้ามาโดยไม่มีการลังเล

ที่ปรึกษาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางไว้ใจกว่าที่คาดนั่น เขาสาวเท้าเข้าหาใกล้เสียจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นอ่อนๆ กระนั้นก็ยังไม่ถูกหลบเลี่ยง รู้สึกว่าคนตรงหน้าใกล้เข้ามากว่าที่เคย

สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่กับความมืดมานานเหลือเกินอย่างเขาแล้ว เรวุสนั้นขาวสะอาดจนขัดตา

ไม่ใช่ในความหมายของการเป็นคนดีหรือภาพลักษณ์ภายนอก ให้อธิบายตรงๆก็ออกจะยากอยู่เสียหน่อย เพียงแต่อะไรบางในตัวของอดีตองค์ชายแห่งแทเนแบรนั้นให้ความรู้สึกว่าไม่อาจแปดเปื้อนได้ในความคิดของเขา

จะความหยิ่งผยองหรือดวงตาสองสีที่แข็งกร้าว ซึ่งขัดกับความซื่อสัตย์อ่อนโยนอันเป็นพื้นนิสัยของเจ้าตัวนั่นก็ดี ช่วยไม่ได้จริงๆที่ความมืดมิดอย่างเขาจะถูกดูดดึงเข้าหาทีละน้อย

…เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องไม่มีผิด…

ริมฝีปากหยักยิ้ม เรวุสนั้นแทบจะไม่มีความจำเป็นเลยกับเรื่องราวของเขาเมื่อเทียบกับตัวละครอื่นๆ แม้กระนั้นก็ต้องยอมรับจริงๆว่าแสงสว่างนั้นได้จับตัวเขาเอาไว้เสียแล้ว และเป็นเขาเองที่ตามตอแยอีกฝ่ายไม่เลิกรา

แม้จะพบพานผู้คนมาหลากหลายรูปแบบ แต่เรวุสนั้นกระตุ้นความกระหายอยากในหลายๆด้านของเขาได้มากเหลือเกิน

อยากรู้จักมากขึ้นกว่านี้…

อยากถูกดึงดูดมากขึ้นกว่านี้…

ff17-1