Pairing : Ardyn/Ravus
Rate : Angst ,Sad Ending
Note : Episode1

Episode 2


 

พิธีทำสนธิสัญญาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มากพอที่จะทำให้อดีตองค์ชายหัวปั่น เขาไม่ค่อยออกคำสั่งหรือแสดงท่าทีบีบบังคับอะไรลูน่ามากนัก แต่เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น จนกว่าพิธีนั่นจะมาถึงเขาไม่อยากจะคลาดสายตาจากเธอเลย

“อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น เธอช่วยอยู่แต่ในนี้ไม่ได้หรือไง”

“ท่านพี่คงไม่เข้าใจ แต่ยังไงฉันก็ต้องออกไปให้ได้”

“ไม่ว่ายังไงเรจิสก็ไม่มีทางรอดอยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่เขาตอบรับการทำสนธิสัญญานั่นล่ะ” ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่น้องสาวของเขาร้อนรนนักหนานั้นเป็นไปด้วยเรื่องอะไร แม้เขาจะไม่ได้มีความสามารถในการทายทัหรืออะไรที่สืบกันมาในสายเลือดของพวกเขาเลยก็ตาม แต่เพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาไม่อาจปล่อยให้ลูน่าทำตามใจได้

..เพราะอะไรบางอย่างกำลังร้องบอกว่าอีกไม่นานเหลือเกินแล้วที่มือของเขาจะไม่สามารถเอื้อมคว้าเธอเอาไว้ได้อีกต่อไป…

‘จักรวรรดิขอทำสนธิสัญญาสงบศึกกับลูซิสผ่านการแต่งงานขององค์ชายน็อคทิสและท่านหญิงลูน่า’ อันที่จริงเรวุสไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเรจิสจะยอมตอบรับแผนลวงที่เห็นกันชัดๆได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ทั้งๆที่อินซอมเนียปราการสุดท้ายไม่ได้มีมาตรการรับมือใดๆ

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือการฆ่าตัวตายชัดๆ มันยากเหลือเกินที่จะมองเป็นอย่างอื่น แต่ทั้งๆแบบนั้นลูน่ากลับดิ้นรนที่จะฝ่าหนีไปยังอินซอมเนียก่อนเวลา และนั่นหมายความว่าเธอจะต้องลงมืออะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมันแน่นอน

“กษัตริย์เรจิสไม่ได้ฆ่าท่านแม่… จักรวรรดิต่างหากที่ทำ เมื่อไหร่ท่านพี่จะให้อภัยเขาเสียที”

เรวุสนิ่งอึ้งไป เขาตัดสินใจตัดบทแล้วเรียกมาเรียมารับลูน่าไปก่อนจะปิดประตูขังเธอเอาไว้แล้วเดินหนีจากจุดนั้น บางทีคงจะเป็นอย่างที่ลูน่าว่า เขาทั้งไม่เข้าใจและไม่อาจให้อภัยเรจิสได้จากสายตาของคนภายนอก ซึ่งก็อาจเป็นเรื่องที่ดีแล้วเมื่อมันเป็นไปตามสิ่งที่เขาพยายามสร้างให้คนอื่นเห็นมาโดยตลอด

เรวุสเดินกลับไปยังห้องส่วนตัวระบายลมหายใจเหนื่อยล้าเสียยาวยืด อดรู้สึกไม่ได้ว่าในใจนึงแล้วมีเพียงลูน่าเท่านั้นที่เขาอยากให้เข้าใจในการกระทำของเขาจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถอธิบายออกไปได้

บางทีความคั่งแค้นเดียวของเขาที่มีต่อเรจิสและน็อคทิสอาจเป็นเรื่องนี้ ลูน่านั้นเข้าใจและเป็นห่วงสองพ่อลูกนั่นมาโดยตลอดแม้จะถูกทอดทิ้งไว้ที่เทเนแบร แต่สิ่งเดียวที่เธอมองเห็นในตัวพี่ชายอย่างเขากลับเป็นความชิงชังในตัวสองคนนั้น

ริมฝีปากหยักรอยยิ้มขื่น ‘ผู้พยากรณ์คงเห็นแค่เหตุการณ์แต่ไม่ได้รวมถึงความรู้สึกเบื้องหลังสินะ’

เสียงเคาะประตูเรียกดังขึ้นและถูกเปิดออกโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของห้องสักนิด เรวุสรู้ทันทีว่าผู้มาเยือนไร้มารยาทนั้นเป็นใคร เขาเบื่อและเหนื่อยเหลือเกินแล้วที่จะเก็บความขุ่นใจเอาไว้กับตัวเมื่ออีกคนเอาแต่ตามตอแยไม่เลิกรา

อาร์ดีนเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนผู้นำของนิฟเฟิลไฮม์ได้หลายวันแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าลูน่าเป็นตัวละครสำคัญในครั้งนี้ อดีตองค์ชายไม่ใคร่พอใจนักเพราะคำอ้างนั้นชัดเจนเหลือเกินว่าไม่ไว้ใจเรื่องนี้กับเขา

ปลายนิ้วไล้ไปตามขอบแก้ว ดวงตาสองสีมองคนหน้าระรื่นที่รุดมาทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามกับเขา “มีธุระอะไรกับทรัพย์สมบัติอีกหรือไง?” เรวุสเปิดประเด็นด้วยถ้อยคำหนักตรง

ดวงตาสีทองเลิกขึ้นอย่างแปลกใจปนขบขัน ชื่นชอบที่ได้เห็นความโกรธาที่มากเสียจนคนที่เอาแต่ทำหน้านิ่งหลุดสำรวมและไม่วางมาดอีกต่อไป

‘..ถ้าทำให้โกรธมากกว่านี้ ต่อไปจะทำหน้าแบบไหนนะ?’

…ลองแหย่ดูซักหน่อยดีกว่า…

“ทะเลาะกับท่านหญิงมาหรือไง?” อาร์ดีนถามเข้าเป้า ยกปลายยนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีปากเมื่อเห็นอีกคนชันตัวขึ้นมามองหน้าเขาตรงๆ “โอ๊ะโอ ถูกซะด้วย อืม…ขอฉันทายหน่อยสิ”

“ถ้าหากไม่มีธุระอะไรก็ขอเชิญออ–..”

“น้องสาวสุดที่รักช่างดื้อดึงและไม่เข้าใจเธอเอาเสียเลยสิ?”

คนฟังเบิกตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเป็นปมแน่น ไม่รู้ว่าที่ที่ปรึกษาหลุดออกมานั้นเพราะเจ้าตัวรู้หรือเพียงเดาสุ่มไปเรื่อย “สรุปคือนายไม่ได้มีธุระอะไรใช่มั้ย?”

ชายผมแดงหลุดหัวเราะกับท่าทางบ่ายเบี่ยงที่แสนชัดเจน “ยังเย็นชากับฉันเหมือนเคยเลยนะ”

“…เชิญตามสบายฉันขอตัว” เรวุสหมดความอดทนในที่สุด เมื่อโดนบ่อนทำลายช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับตัวเอง เขาลุกพรวดขึ้นไม่คิดจะสานต่อบทสนทนา

‘ท่าทางจะล้ำเส้นไปนิดแฮะ’

อาร์ดีนเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือคนที่กำลังจะเดินหนี “มาหาเธอจะไม่มีธุระได้ยังไง หือ?”

ดวงตาสองสีมองมือนั่นด้วยสายตาหงุดหงิด ชักข้อมือตนออกแล้วเดินกลับไปทิ้งตัวที่เก่า ประสานมือใต้คางรอฟังธุระที่อีกคนว่าอย่างขุ่นข้อง

ชายผมแดงคว้าปากกาบนโต๊ะมาหมุนเล่นพลางเอ่ยเล่าเหตุการณ์สำคัญด้วยท่าทางกึ่งเล่นกึ่งจริง เรวุสไม่เคยรู้จริงๆว่าเขาควรทำหน้ายังไงในสถานการณ์แบบนี้ ข้อมูลทุกอย่างจากปากที่ปรึกษาทำให้เขาอดทึ่งไม่ได้ในทุกครั้ง ไปพร้อมๆกับความระอาในท่าทีไม่ทุกข์ร้อนนั่นด้วย

หากเป็นอย่างที่ได้ยิน บางทีในตัวพิธีนี่เองที่อาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเขา เรื่องใหญ่จะต้องเกิดขึ้น อาร์ดีนรอบรู้เรื่องจากทางฝั่งลูซิสมากจนน่าสงสัย เขาได้แต่เงียบฟังประเมิณหาสถานการณ์ที่อาจมาตกอยู่ในการควบคุมของเขาเองได้ทุกเมื่อ

อดีตองค์ชายเห็นว่าที่ปรึกษาจอมกะล่อนคนนี้แท้จริงแล้วไม่ได้มีเป้าหมายในการเกื้อหนุนใดๆเลยซักนิดกับจักรวรรดิ เพียงแค่นิฟเฟิลไฮม์มีความสามารถมากพอที่จะทำให้แผนการบางอย่างของอาร์ดีนประสบความสำเร็จได้ก็เท่านั้น

หลังจากคิดอย่างรอบคอบหากแผนดำเนินไปจนสำเร็จจริง ราชาเรจิสจะต้องถูกปลงพระชนม์แน่ไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเหตุนี้ลูน่าจึงหาทางหลบหนีออกจากที่นี่นัก …เพราะแหวนและคริสตัลอาจตกไปอยู่ในมือขอจักรวรรดิ…

ชัดเจนว่ากษัตริย์อีโดลัสประสงค์จะครองแหวนนั่นไว้ในหัตถ์ของตน เมื่อถูกปลงพระชนม์แหวนลูซิไอจะเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้ารุมทึ้ง แล้วคนที่มีสิทธิ์จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากผู้ที่มีโอกาสเข้าไปเหยียบในห้องเซ็นสัญญา

…และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น…

“จะบอกว่าไม่จะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามปล่อยให้แหวนหลุดมือไปงั้นสิ?” เรวุสพูดเสียงเรียบทวนแผนการทั้งหมดของอาร์ดีนในหัว พร้อมๆกับวางสิ่งที่ตนเองต้องการลงไปในช่องว่างเหล่านั้น

“ได้คนหัวไวแบบเธอมาอยู่ข้างๆ แผนการก็ดูง่ายขึ้นเป็นกองทีเดียว” อาร์ดีนโน้มตัวมาข้างหน้าหยุดปากกาที่หมุนเล่นอยู่ในมือ ก่อนจะใช้มันเขี่ยไล้ขึ้นจากลำคอมาจบที่ปลายคางหยิ่งเชิด

เจ้าของดวงตาสองสีผงะถอย แววตาเหยียดหยันชัดเจนแม้อีกคนจะไม่อนาทรใดๆ

“สีหน้าแบบนั้นของเธอฉันก็ชอบ” ริมฝีปากชั่วร้ายหยักยิ้ม

ขยะแขยงเสียเต็มประดา เรวุสระบายลมหายใจหน่ายกระแทกเสียงใส่ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ย “หมดเรื่องจะพูดก็ออกไปซักที”

คนถูกไล่หัวเราะขำ หมุนหมวกที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะขึ้นสวม ยอมล่าถอยในที่สุด “ยังไงก็ขัดขวางเจ้าหญิงให้สำเร็จล่ะ”

เสียงกระทบของประตูดังขึ้นพร้อมกับเปลือกตาที่หลุบลง เจ้าของห้องหงายศีรษะอิงพนักเก้าอี้ สมองปวดระบมในทุกความหมาย คาดหวังจากเบื้องลึกให้แผนของตนอยู่ในรูปรอยที่มันควรจะเป็น

…………………………………………………

เหตุการณ์ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ความสูญเสียมากมายเกิดในเสี้ยววินาทีที่ปากกายังไม่ทันจรด คริสตัลตกเป็นของนิฟเฟิลไฮม์ตามแผนการอีโดลัสและอาร์ดีนหายลับไปท่ามกลางกองทัพที่โปรยลงมาราวห่าฝนจากทั่วสารทิศ

ในท้องพระโรงไม่เหลือใครแล้ว มีเพียงเขา เรจิสและนายพลกลอค่า เป็นตามที่อาร์ดีนว่าเรจิสดูอ่อนแรงลงทุกครั้งที่เรียกใช้พลังจากแหวน ถ้าเป็นแบบนั้นหลายปีที่ผ่านมานี่ร่างกายของเขาก็คงทรุดโทรมเต็มทีจากการฝืนใช้พลังเพื่อสร้างบาเรียคุ้มกันอินซอมเนีย

โล่สลายลงจากการปะทะ ดาบเดียวของกลอค่าสะบั้นเอานิ้วพระหัตถ์ทิ้ง ธำมรงค์หลุดปลิว แหวนแห่งกษัตริย์อยู่ตรงหน้าเป็นเรวุสที่คว้ามันไว้ได้

“เรวุสอย่า!”

เจ้าของชื่อกำแหวนในมือแน่นสบพระเนตรกับชายที่เหลือแต่แผ่นหลังทิ้งไว้ในความทรงจำของเขา ความสับสนเดือดดาลปรากฏขึ้นอีก ดวงตาสองสีมองมันนิ่ง พร่างพรูความรู้สึกที่ไม่เคยได้เอ่ย “ฉันสูญเสียทุกอย่าง… แม่ของฉัน เมืองของฉัน สิทธิ์ของฉัน…ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะแหวงวงนี้..”

สายพระเนตรนั้นกึ่งร้องขอกึ่งสงสาร เรวุสตีความว่ามันเป็นความสมเพชที่เรจิสมีให้ หรือไม่ก็คงเป็นเขาเองที่สมเพชชะตาชีวิตของตนและอาณาจักรทั้งอาณาจักรที่ล่มสลายลงเพราะความละโมบในของเล็กจ้อยเช่นนี้

เขามองสบสายพระเนตรนั้นอีกครั้งเดียดฉันท์มันขึ้นมาเพราะมันเป็นสายตาแบบเดียวกับที่ลูน่ามีให้เขา …ความเวทนา… เวทนาที่เขาไม่อาจตีตัวออกจากความเคียดแค้นชิงชัง เป็นความจริงที่เขาพยายามสร้างภาพขึ้นให้คนรอบข้างคิดแบบนั้น แต่ภายใต้ใบหน้าหยิ่งผยองแล้วอะไรบางอย่างข้างในมันก็อดเจ็บขึ้นมาไม่ได้ทุกครั้งที่ได้รับสายตาเช่นนั้นจากลูน่า เรวุสกลิ้งแหวนแห่งลูซิไอไปบนนิ้ว อยากจะรู้นักว่าพลังแบบไหนกันที่สั่นคลอนผู้คนได้ขนาดนี้

…พลังแบบไหนที่พรากทั้งอาณาจักร ครอบครัวแล้วยังผลักให้คนคนเดียวที่เขาอยากปกป้องต้องวิ่งเข้าหาอันตรายด้วยตัวเองแบบนี้…

“…ตอนนี้มันเป็นของฉันแล้ว” ความรู้สึกปนเป ทั้งเดือดดาล ทั้งสมเพช มันค่อยๆเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง แหวนถูกสวมผ่านนิ้วและทุกอย่างรอบกายก็พลันนิ่งงัน

แน่ล่ะแหวนปฏิเสธไม่มีเหตุผลอะไรที่จะได้รับการยอมรับ แต่มันก็ยิ่งทำให้เขาดูน่าสมเพชขึ้นอีก เปลวเพลิงไหม้ลามไปทั่วแขน เขาร้องและล้มลงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส แม้ว่ามันจะหลุดจากนิ้วไปแล้วก็ตาม

เสียงปะทะกันยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในสติอันเลือนลางเขามองเห็นลูน่าที่ช่วยประคองร่างของเรจิสออกไปจากห้อง โดยมีร่างในชุดเกราะแน่นหนักไล่ตามออกไป

เรวุสพยายามรวบรวมสติ ในเมื่อหน้าที่ที่ทุกคนได้รับคือการชิงแหวน สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในตอนนี้ที่เขาคิดได้ก็คือเรจิสจะส่งมอบแหวนให้ลูน่าก่อนที่ตัวเองจะถูกฆ่า และเป้าหมายของกลอค่าจะเบนไปยังน้องสาวของเขาแทน

เสียงครางหนักดังขึ้นในลำคอ เขากรีดร้องออกมา ไม่ใช่เพราะความเจ็บแต่เป็นเพราะโมโหในความโง่ของตัวเอง ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงลูน่าก็จะต้องดิ้นรนมารับแหวนเพื่อนำไปส่งมอบต่อให้น็อคทิส สิ่งที่เขาควรทำคือการหยิบเอาแหวนมื่อมีโอกาสไม่ใช่การทดสอบความใคร่รู้งี่เง่าของตัวเอง

อดีตองค์ชายแบกเอาสังขารร่างที่อ่อนระโหยเต็มที ดาบของเรจิสหล่นอยู่เรวุสคว้ามันขึ้นมาก่อนมุ่งไปตามทิศที่ทุกคนผ่านออกไป ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้วรองค์ไร้ชีพนอนทอดนิ่งท่ามกลางโถงกว้างเพดานสูงสุดตา คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่นเมื่อทรุดกายลงคุกเข่าข้างพระบรมศพ มองดาบในมือของตัวเองที่ช่วยพยุงร่างเอาไว้ไม่ให้กองกับพื้นสลับกับอดีตเจ้าของ

ลูน่าคงนำแหวนออกไปแล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตามออกไปอีก จริงอยู่ที่ว่าเธอตกอยู่ในอันตรายแต่นอีกแง่มุมสำหรับอาร์ดีนแล้วลูน่ายังคงมีประโยชน์กับแผนการอยู่ เพราะแบบนั้นแล้วเรวุสจึงเชื่อว่า ไม่มีทางที่กลอค่าจะทำอันตรายเธอจนถึงชีวิตแน่

…หรือไม่เขาก็คงได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเช่นนั้น…

เขาวางดาบราบไปกับพื้นใช้มือข้างที่ยังขยับไหวปิดเปลือกพระเนตรนั้นลง เอ่ยพึมพำบางเบาให้กับคนที่ไม่มีวันได้ยิน “เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง ด้วยมือของฉัน.. ดาบนี่จะถูกส่งมอบให้กับน็อคทิสแน่นอน…”

“…ฉันขอสาบาน…”

…………………………………………………

Leave a comment