Pairing : Ardyn/Ravus
Rate : Angst ,Sad Ending
Note : Episode4

Episode 5


…หลายๆครั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งผลสำเร็จ เราก็อาจจะต้องลงทุนลงแรงด้วยตัวเองกันบ้าง…

เขากำลังหลอกตัวเองให้คิดเช่นนั้น เรวุสไล้มือไปตามขอบโต๊ะไม้เนื้อดี กวาดสายตามองแผ่นกระดาษที่กระจายอยู่เบื้องหน้าไม่ได้ข้อมูลมีประโยชน์อะไรจากมันเลยซักนิด ‘ก็ไม่ได้คิดว่าจะทิ้งข้อมูลสำคัญอะไรไว้ในที่เตะตาแบบนี้หรอกนะ’

ปลายผมชื้นน้ำลู่แนบผิว มือดึงเสื้อคลุมอาบน้ำตัวยาวที่สวมอยู่ให้ปิดเข้ามามิดชิดมากขึ้นก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หนังบุสีเข้มคิดสะระตะรอเวลาให้เจ้าของห้องกลับมาถึง

ลูน่าข้ามไปยังอัลทิสเซียแล้วด้วยการคุ้มครองจากเส้นสายเท่าที่เขาจะสามารถหาให้ได้ หากเป็นที่นั่นแล้วจักรวรรดิเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ถ้าเขายังสามารถส่งข้อมูลการเคลื่อนไหวสำคัญๆของทางนี้ไปหาเธอได้เป็นระยะเธอก็จะปลอดภัย อย่างน้อยก็นานมากพอที่พวกน็อคทิสจะเดินทางไปหาได้

…คงได้แต่เชื่อใจเจ้าพวกเด็กกะโปโลนั่นแล้ว…

คิดยังไงก็ไม่ชอบใจเลยซักนิดที่จะต้องทนวางใจในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ซ้ำแล้วยังเป็นคนที่ตัวเองไม่ค่อยชอบหน้าอีกต่างหาก เรวุสถอนหายใจอีกพร้อมๆกับที่ได้ยินเสียงเปิดประตูจากห้องอาบน้ำส่วนตัวด้านใน

“ถอนหายใจบ่อยแบบนี้เดี๋ยวก็แก่เร็วกันพอดี” เสียงระรื่นของเจ้าของห้องทักขึ้นยิ่งทำให้คิ้วของเขาขมวดหนักขึ้นอีก

อาร์ดีนสาวเท้าเข้าหาเสื้อคลุมอาบน้ำสีดำที่ดูหลุดรุ่ยนั่นยังคงชื้นเปียก หยดน้ำร่วงลงจากปอยผมที่ยังไม่แห้งดีต้องโดนหน้าของเขาเมื่อร่างของที่ปรึกษาโน้มค้ำลงเหนือนเก้าอี้ที่อดีตองค์ชายนั่งอยู่

“แปลกใจจริงเชียวฉันนึกว่าเธอจะหนีไปแล้วซะอีก”

“ตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรือไง”

“เธอที่จริงจังแบบนี้ฉันก็ชอบนะ” รอยยิ้มแต้มขึ้นที่มุมปากคนสูงวัย ใบหน้าใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน เรวุสหรุบตาไม่เอ่ยอะไรตอบคำเย้าแหย่นั่น ดวงตาสีทองหรี่มองปฏิกริยานั้นแล้วจึงตัดสินใจแนบจุมพิตลงบนริมฝีปากสีอ่อน “ถ้าอย่างนั้นฉันขอรับข้อแลกเปลี่ยนของวันนี้ไปเลยแล้วกัน”

อดีตองค์ชายแนบริมฝีปากตอบอย่างเงอะเงิ่น หัวใจชาปลาบ

…………………………………………………

เรวุสจรดปากการ่างจดหมาย เสียงกระทบระหว่างปลายปากกากับผิวกระดาษดังเป็นระยะ เขาไล่เรียงข้อมูลสำคัญที่ได้มาในหัว แต่อาการเจ็บแปลบที่บั้นเอวก็ทำเอาต้องขมวดคิ้วกับทั้งความรู้สึกและที่มาของมันอย่างช่วยไม่ได้

…ข้อตกลงระหว่างพวกเขา…

แน่นอนว่าอาร์ดีนเป็นคนคิดข้อเสนอนี้ ที่ปรึกษาจอมเจ้าเล่ห์พูดขึ้นหลังจากสำรวจร่างกายของเขาเอาตามใจในคืนแรก เรวุสจะต้องยอม ‘ถูกสำรวจ’ หนึ่งครั้งแรกกับการที่เขาจะมีโอกาสได้ลงมือ ‘ฆ่า’ และถามคำถามอะไรก็ได้จากอาร์ดีนหนึ่งครั้ง

อดีตองค์ชายไม่ได้สนใจเรื่องการมีโอกาสฆ่าอีกคนเท่าไหร่นักเมื่อได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าในคืนนั้นและพบว่ามันเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เปล่าประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ทำให้เขาหยุดชั่งใจและยอมตกลงคือคำถามอะไรก็ได้ที่อีกฝ่ายจะยอมตอบเขาต่างหาก มันทำให้การติดตามการเคลื่อนไหวของจักรวรรดิง่ายขึ้นจมหู

…และนั่นหมายความว่าความปลอดภัยของลูน่าเองก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

เขาคิดว่าอาร์ดีนรู้ดีถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการกระทำของเขา เพราะแบบนั้นจึงได้ยื่นข้อเสนอนี้มา ทั้งการยอมให้เขาฆ่าและการมอบข้อมูลอย่างไร้ข้อแม้ก็ด้วย สิ่งเดียวที่เขาข้องใจในตอนนี้กลับเป็นความต้องการที่แท้จริงของฝ่ายนั้นต่างหาก เรวุสนึกไม่ออกว่าอาร์ดีนได้อะไรจากการยื่นข้อเสนอนี้ นอกจากการบั่นทอนศักดิ์ศรีและการย้ำให้รู้ถึงจุดยืนของเขา

สำหรับอดีตองค์ชายแล้วเขาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจของเขามากทีเดียว เพียงแต่การกระทำนั้นก็ยังคงไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับอาร์ดีนเลยแม้แต่น้อย

…หรือแค่อยากจะเล่นสนุก…

นี่เป็นสิ่งเดียวที่เรวุสนึกออกจริงๆ ได้แต่คิดว่าจะเพราะอะไรก็ช่างขอเพียงมันเป็นโอกาสที่จะก่อประโยชน์ให้เขาได้ก็พอแล้ว

…………………………………………………

การกระทำของอาร์ดีนนั้นประหลาดเสมอในสายตาของเรวุส ชายหนุ่มรู้สึกว่ามักจะมีเบื้องหลังอะไรเสมอในแผนการนั้น แต่บางครั้งมันก็เป็นเพียงการทำเพื่อฆ่าเวลาหรือแก้เบื่อบางอย่างเท่านั้น

ครั้งนี้ก็ด้วยอาร์ดีนยึดเอารถของพวกน็อคทิสมาเก็บไว้ที่ฐานของจักรวรรดิหลังจากพาพวกนั้นไปหาอาร์เคเอียนเพื่อดึงเอาพลังจากสุสานกษัตริย์ที่อยู่ที่นั่น

อดีตองค์ชายได้ยินข้อมูลนั่นในคืนหลังจากที่ที่ปรึกษาจอมวุ่นวายหายออกจากนิฟเฟิลไฮม์ไปโดยไม่บอกใคร อันที่จริงเขาจะถามหาเหตุผลให้หายข้องใจก็ได้ แต่เขาก็คิดว่ามันไม่คุ้มค่ากับการถูกสำรวจเพิ่มเติมซักเท่าไหร่นักจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไป

เรวุสมารอพวกน็อคทิสอยู่ในฐานที่เรกาเลียจอดได้คืนนึงแล้วเพราะคิดว่ายังไงพวกนั้นก็จะต้องมาเอารถคันนี้คืนอย่างแน่นอน ปลายเล็บเหล็กเคาะด้ามดาบเบาๆพลางใช้ความคิด ถ้าเป็นไปได้นี่อาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ส่งมอบดาบที่เก็บมาต่อให้กับเจ้าของที่ถูกควรของมัน ติดเสียแต่ว่าอาร์ดีนเองก็อยู่ที่นี่ด้วยและมันอาจไม่เป็นการดีนักหากเขาจะทำอะไรที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการช่วยเหลือศัตรู

ที่สำคัญการวางตัวของเขาเองก็ทำให้อะไรๆยากขึ้นไม่น้อย ไม่มีทางที่พวกน็อคทิสจะยอมเชื่อใจเขามากพอ การโผล่ออกไปแล้วยื่นดาบนั่นให้ก็ดูจะโผงผางเกินไปไม่น้อย

ร่างสูงโปร่งหลับตาลงเอนหลังทิ้งน้ำหนักกับเบาะเก้าอี้นอนผ่อนลมหายใจเหนื่อยหน่าย

“โอ๊ะโอ ฉันมาขัดจังหวะตอนเธอกำลังใช้สมองพอดีเลยสิ” ผู้มาเยือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวนเหมือนเคย เรวุสยังคงค้างนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ได้สนใจแม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองด้วยซ้ำ ชินชากับการผลุบๆโผล่ๆโดยไม่ให้สัญญาณของอีกคนไปแล้ว

‘ขนาดตอนนี้เองจะอยู่ๆหายไปหรือเดินทะลุกำแพงเข้ามาก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจแล้วล่ะมั้งนะ’

คนสูงวัยกว่าไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น แต่เดินมาทิ้งตัวนั่งเกยกับที่เท้าแขนแล้วโน้มตัวลงมาคร่อมร่างท่อนบนของเขาเอาไว้ “เหมือนได้เห็นหน้าเธอตอนหลับเลยนะ แบบนี้ก็น่ารักดี”

คิ้วมุ่นเป็นปมแน่นดวงตาสองสีดุดันจ้องเขม็งตอบดวงตาสีทองในระยะประชิด “รู้ว่ามาขัดจังหวะก็ออกไป วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาทำตามข้อตกลงอะไรของนายหรอกนะ”

“ถ้าวันไหนเธอมีอารมณ์ขึ้นมาก่อนฉันคงแปลกใจน่าดู”

“….”

ใบหน้าด้านบนเคลื่อนเข้าใกล้ขึ้นอีกแนบจูบแผ่วๆกับริมฝีปากของเขาก่อนจะกดแนบบเข้ามาหนักขึ้น ลึกซึ้งขึ้นเหมือนรอคำอนุญาต แต่เมื่อปลายลิ้นอุ่นชื้นดุนดันเข้ามาเขาก็งับมันเข้าเต็มแรงจนคนที่กำลังรุกอยู่ต้องยอมผละออกไป

รสเลือดเค็มปร่ายังติดที่ปลายลิ้น “บอกว่า ‘ไม่’ ไง”

ที่ปรึกษายกมือยอมแพ้ ใช้นิ้วโป้งปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก “อุตส่าห์คิดว่านานๆทีได้เปลี่ยนที่ก็เร้าใจดีเหมือนกันแท้ๆ” เสียงทุ้มๆหัวเราะร่วนในคอ ไม่ได้มีทีท่าเจ็บปวดกับบาดแผลแม้แต่นิด

เรวุสไม่ขยับออกจากที่ เขาเพียงแค่ถอนหายใจและหันใบหน้าหนีไปอีกทาง ในขณะที่คนตัวโตกว่ายังนั่งฮัมเพลงไม่เขยื้อนไปไหนอยู่ที่เดิม

“ไม่มีอะไรจะทำหรือไง?”

“ก็อะไรที่คิดจะทำโดนสะกัดดาวรุ่งไปแล้วนี่น้า” คนตอบยืดตัวเอนหลังทิ้งตัวลงนอนทับคนที่นอนนิ่งไม่ให้ความร่วมมือบนเก้าอี้ จากขนาดตัวของอาร์ดีนแล้วท่านี้ไม่ได้สบายเอาซะเลยแถมยังดูเกะกะระรานอีกต่างหาก แต่เจ้าตัวกลับยังยืนยันที่จะไม่ขยับตัวด้วยการนอนอยู่แบบนั้น

…อันที่จริงก็เกะกะระรานจริงๆนั่นล่ะ…

“หนัก ออกไป” เรวุสรู้สึกตัวแล้วว่าพออยู่ในท่านี้ทั้งแขนทั้งมือก็พลอยอยู่ใต้ร่างหนาหนักนั่นด้วย

“ฉันนึกว่าวันนี้เธอน่าจะมีอะไรอยากถามฉันแท้ๆ”

“ไม่มี” หรืออันที่จริงคือมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้

“แต่ฉันมีอะไรที่คิดว่าเธอน่าจะอยากรู้ซะอีก”

“อะไร?”

“ชู่ว์” อาร์ดีนจุ๊ปากแตะปลายนิ้วกับริมฝีปากบางๆนั่น “แบบนี้ก็เท่ากับเธอยอมใช้โควต้าของวันนี้แล้วนะ”

เรวุสจ้องคนช่างแหย่เขม็ง ไม่พอใจที่อีกคนรู้วิธีหลอกล่อเขาได้ชะงัดนัก “เหตุผลที่นายยื่นมือเข้าไปช่วยพวกน็อคทิสคืออะไรกันแน่?”

ที่ปรึกษายิ้มพรายขยับตัวนิดหน่อยหันไปสบสายตากับเจ้าของตักที่เขานอนทับอยู่ “นั่นเป็นคำถามที่ต้องการ ‘คำตอบ’ รึเปล่าล่ะ?”

คำถามที่โต้กลับมาทำให้อดีตองค์ชายได้แต่ครางอย่างไม่สบอารมณ์ในคอ ขยับกายท่อนบนโน้มใบหน้าเข้าหาคนทำหน้าทะเล้น แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ที่ปรึกษาคนสำคัญต้องการอีกตามเคย

…………………………………………………

เสียงอึกทึกปลุกให้เรวุสตื่นขึ้นในตอนเกือบรุ่งสาง เขารุดขึ้นแต่งตัวความเจ็บที่สะโพกแล่นริ้วขึ้นมาชวนให้หงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอาร์ดีนหวังจะประเมิณความสามารถบางอย่างของพวกน็อคทิส เพื่อดูให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มคือราชาคนต่อไปที่เหมาะสมกับแหวนลูซิไอจริงหรือเปล่า

ตามความเห็นของเขาประกอบกับความอึกทึกนี้แล้วสี่คนนั้นก็ยังเด็กและห่างชั้นอยู่มากเมื่อเทียบกับจักรวรรดิ เพราะแบบนั้นเรวุสจึงเลือกจะเก็บดาบของเรจิสไว้ก่อนและนำดาบเล่มเดิมของตนติดตัวออกไปแทน หากน็อคทิสเหมาะสมจริงเขาเองก็อยากพิสูจน์ด้วยสองมือของตนเช่นกัน

อาทิตย์ขึ้นแล้วเขามองเห็นพวกน็อคทิสจากที่ไกลๆมุ่งตรงมายังเรกาเลีย ด้วยกำลังของคนแค่สี่คนแล้วการทำลายฐานทัพแห่งหนึ่งลงได้อย่างง่ายดายก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจพอควร แต่หากนับว่านี่เป็นการลอบโจมตีแล้วความอึกทึกนี่ก็ยังแสดงให้เห็นความอ่อนด้อยเหลือเกินนั่น

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะน็อคทิส” เขาสาวเท้าตรงไปทางเรกาเลีย สีหน้าตื่นตกใจที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีคนเดินเข้ามาจากข้างหลังก็ยิ่งทำให้เรวุสหงุดหงิดขึ้นอีกไม่นับการที่เขาไม่ได้ชอบคู่สนทนานักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“เรวุส..”

“ได้รับพรจากพายุมาแล้วนี่..” อดีตองค์ชายเอ่ยด้วยเสียงขุ่นข้อง ตวัดปลายดาบขึ้นจ่อคอคู่สนทนา “…ทั้งๆแบบนั้นแต่กลับไม่รู้เลยซักนิดว่ามันจะส่งผลอะไรบ้าง”

“เฮ่ย!”กลาดิโอ้ตะเบ็งเสียงเบียดตัวเข้ามาขวาง ไม่ยากเลยกับการบุ่มบ่ามเช่นนี้ แค่เรวุสเบี่ยงองศาของมือปลายดาบก็แนบเข้ากับลำคอของคนตัวโตอย่างง่ายดาย

“พวกนายเงียบไปซะ” ดาบยังคงจ่อนิ่งอยู่บนลำคอของคนตัวโตในขณะที่กวาดสายตามองอีกสามคน และไปหยุดอยู่ที่น็อคทิส “รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์.. ผู้เปี่ยมด้วยความงดงามและอำนาจอันเหมาะสม..”

แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกได้ว่ากำลังมองคู่สนทนาด้วยสายตาหมิ่นแคลน ไม่เลยน็อคทิสในตอนนี้ยังไม่เหมาะสมกับคำกล่าวเหล่านั้นเลยในสายตามของเขา ทั้งๆที่ลูน่าพยายามขนาดนี้ ดิ้นรนขนาดนี้ เสี่ยงชีวิตหลายครั้งหลายคราขนาดนี้ ตรงไหนของเด็กคนนี้กันที่ทำให้คนสำคัญคนเดียวของเขาต้องทุกข์ทรมานแบบนี้

“แล้วสิ่งที่นายทำอยู่มันดีนักหรือไง!? ตามรับใช้ก้นจักรวรรดิต้อยๆ เพื่อตามล่าลูน่าน่ะเหรอ!?!”

ดวงตาเปลี่ยนสี เร็วกว่าใจคิดเรวุสคว้าเข้าที่ลำคอคนพูดทันที “ฉันไม่ได้รับใช้พวกนั้น!”

…เพื่อเด็กกะโปโลโง่เง่าที่ไม่ได้รู้อะไรเลยซักนิดนี่น่ะเหรอ?…

เป็นกลาดิโอ้ที่เข้ามาขวางอีกครั้ง เขาเลิกคิ้วมอง “โล่แห่งราชันย์เรอะ?”

“เห็นชัดแล้วไม่ใช่รึไง?”

“อ่อนแอขนาดนี้ คิดว่าจะป้องกันอะไรได้กัน!?” เขาเงื้อมเล็งฟาดดาบเต็มแรงด้วยมือข้างเพียงเดียว คนตั้งรับหยุดมันไว้ด้วยดาบใหญ่โต แต่มันไม่ได้ทำให้เรวุสรู้สึกอะไรเลยนอกจากความผิดหวังที่พาลชัดขึ้นอีก

ผิดหวังที่ชีวิตของลูน่าจะต้องขึ้นกับคนอ่อนแอเหล่านี้…

ผิดหวังตัวเองที่คาดหวังมากมายว่าน็อคทิสจะแข็งแกร่งมากพอ…

ผิดหวังที่ตัวเขาเองก็อาจจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้อีกแล้ว…

เสียงดังโครมใหญ่เทื่อเรวุสสะบัดมือครั้งเดียวร่างใหญ่หนาของโล่ห์แห่งราชันย์ก็ลอยปะทะเข้ากับโครงรถเต็มๆ

“เฮ่!! จะมากไปแล้วนะ!” น็อคทิสก้าวออกมารับหน้า อาวุธแห่งกษัตริย์ปรากฏขึ้น ดีเหมือนกันจะได้รู้เสียทีว่านายจะคู่ควรกับมันจริงๆหรือเปล่า ทั้งดาบของเรจิส ทั้งลูน่าและก็ภาระที่จะโถมลงมาต่อจากนี้ก็ด้วย

“ผู้ถูกเลือกจะต้องมาจบชีวิตที่นี่ นี่น่ะเหรอชะตากรรมของโลกใบนี้”
.
.
.
“โอ๊ะๆ ช่วยหยุดไว้ตรงนั้นที” ผู้เข้ามาใหม่ตามด้วยน้ำเสียงคุ้นหูก้าวเข้ามา โบกมือเพียงครั้งอาวุธที่ลอยล้อมรอบน็อคทิสก็หายไป เรวุสสบถกับตัวเองรั้งดาบในมือกลับมาและหันหนีไปทางอื่น

“ไม่เป็นไรนะ?” อาร์ดีนหันไปสนทนากับน็อคทิสด้วยสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่อยากได้ยินจากนายหรอก”

“อะไรกันนี่ฉันอุตส่าห์มาช่วยเชียวนา”

“คิดจะทำอะไรของนายน่ะ” อิกนิสแทรกขึ้นมาบ้าง เหมือนจะเอะใจขึ้นมาแล้วว่าคนตรงหน้ามีจะต้องมีบทบาทอะไรบางอย่างจึงทำให้คนอย่างเรวุสยอมลดมือลงได้

“ก็พากองทัพจากไปไง” ตอบราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

“คิดจะให้เราเชื่อง่ายๆรึไง?!”

อาร์ดีนไม่ได้สนใจสียงที่แทรกขึ้นมา แต่พูดต่อไปเรื่อยๆ “เจอกันคราวหน้าก็คนเป็นที่อีกฟากของทะเลแล้วสินะ” หันไปยิ้มให้น็อคทิสที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เรื่องก็ตามนั้นล่ะ พวกเราเองก็มีงานที่จะต้องไปทำเหมือนกัน” น้ำเสียงยียวนทิ้งท้ายก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังสูงโปร่งที่ยืนนิ่งไม่คิดจะร่วมสนทนา “เน้อ?”

ที่ปรึกษาเดินคล้อยไปหาคนที่เริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง ก่อนจะตัดบทลานักเดินทางทั้งสี่ “งั้นก็ลากันแค่นี้แล้วกันนะฝ่าบาท ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”

เรวุสไม่ได้พอใจการขัดจังหวะนี้นักแต่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้แค่เดินออกจากจุดนั้นไปโดยมีชายผมแดงตามมาไม่ห่าง

…เวลาอันเหมาะสมคงยังอีกยาวไกลนัก…

…………………………………………………

Leave a comment