Pairing : Ardyn/Ravus

Rate : Angst ,Sad Ending

Note : ฟิคน่าจะยาวกำหนดการรวมเล่มงาน Comic Avenue

Prologue

….ผู้หาญกล้าเผชิญกับจักรวรรดิจะต้องพบกับจุดจบ…
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรวุสเข้าใจคำกล่าวนั้น และได้ประจักษ์มันด้วยสองตา
…………………………………………….
องค์ชายแห่งเทเนแบรถูกเลี้ยงดูและสั่งสอนมาอย่างสมฐานะ เขาไม่ได้เติบโตมาอย่างอู้ฟู่หรือถือตัวอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ
เรวุสในวัยเด็กนั้นเป็นทั้งองค์ชาย บุตรชายแล้วก็พี่ชายที่ดีด้วย เป็นเด็กชายที่แบกเอาภาระและอนาคตเอาไว้บนบ่าเล็กๆโดยไม่เคยมีข้อข้องใจ
แม้กระทั่งกับคนต่างอาณาจักรที่เข้ามารักษาตัวอยู่เสียนาน เขาก็ให้เกียรติและคิดจริงๆว่าน็อคทิสเป็นน้องชาย และเรจิสก็เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของเขาอีกคน
หากไม่เพราะเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นเสียก่อน…
…ผู้ที่แหวนยอมรับคือผู้ครอบครองพลัง…
ข้อเท็จจริงที่ทุกคนรู้และไฝ่หา แน่นอนว่าจักรวรรดิเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ลูซิสเป็นแค่หนึ่งในไม่กี่เมืองที่ยืนหยัดด้วยตนเองมาได้จนถึงตอนนี้ และสาเหตุหลักนั้นก็มาจากพลังจากแหวนเพียงวงเดียวที่ประดับอยู่บนนิ้วผู้ถือครอง
นิฟเฟิลไฮม์ไม่ลังเลแม้แต่นิดที่จะบุกรุกเข้าเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างเทเนแบร จัดการทุกอย่างที่ขวางหน้าเพียงเพื่อแหวนบนนิ้วพระหัตถ์ของกษัตริย์เรจิส
…วันนั้นที่โลกของเรวุสล่มสลายลงต่อตา…
.
.
เปลวเพลิงโหมไหม้อยู่รอบกาย แต่สิ่งที่ดวงตาสองสีสะท้อนเห็นกลับมีเพียงร่างไร้ชีวิตที่ทอดนิ่งในอ้อมแขน และเสียงร้องขอความช่วยเหลือของตัวเองที่กรีดดังเสียจนปวดหู
ไม่มีปาฏิหาริย์ใดสำหรับเจ้าชายองค์น้อย สิ่งที่เขาเป็นและถูกคาดหวังให้เป็นมาโดยตลอด ทุกอย่างจบสิ้นลงในวินาทีนั้น ด้วยมือของจักรวรรดิกอปรกับความช่วยเหลือที่ไม่มีวันมาถึงจากเรจิสที่หอบพาน็อคทิสหนีหายไปท่ามกลางความโกลาหลโดยไม่เหลียวหลัง
แผ่นหลังที่ห่างออกไปของเรจิสไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากนัก จริงอยู่ที่เขาคั่งแค้นหากมันก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว หากถามว่ามันใกล้เคียงกับอะไรที่สุดแล้วก็คงเป็น ‘ความผิดหวัง’ ล่ะมั้ง…
…มันไม่ใช่เรื่องที่ช่วยเหลืออะไรได้..
แม้จะวกกลับมาแล้วยังไงเหรอ ในเมื่อก็มีเพียงร่างไร้ลมหายใจที่ล้มอยู่…
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะหอบพาเด็กสามคนหลบหนีไปตามทาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ตายไปแล้ว
แต่ว่านะ…
…แต่ว่าหากเป็นแหวนที่มีพลังมากมายขนาดนั้นแล้ว มันก็ควรจะช่วยอะไรได้บ้างไม่ใช่เหรอ…
คำถามและความรู้สึกที่ไม่มีทางออกอัดเสียจนเต็มแน่น เรวุสรู้สึกเหมือนมันเป็นลูกโป่งพองลมที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ หากไม่ใช่เพราะมีมือคู่หนึ่งยื่นลงมา
…ลูน่า..น้องสาว..ครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา…
ลูน่าไม่ได้ร้องไห้เสียจนจะเป็นจะตายแบบเขา เรวุสไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะเธอเป็นผู้พยากรณ์ที่ถูกเลือกในคำทำนายอย่างที่ว่ากัน หรือเป็นเพราะว่าเธอเข้มแข็งมากกันแน่
อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้เห็นแต่เขาจำได้ถึงความชื้นเปียกที่ซึมแผ่บนไหล่ของเขาอย่างเงียบงัน
วินาทีนั้นที่เขาบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เขาจะไม่ทำให้ครอบครัวเพียงคนเดียวต้องเสียน้ำตาอีก
……………………….
เรวุสยังเด็ก หากไม่ได้เด็กเสียจนไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะแบบนั้นเขาจึงได้เลือกทางเดินที่ปลอดภัยกับทั้งตัวเขาและลูน่ามากที่สุดในตอนนั้น
…การยอมจำนนให้กับจักรวรรดิ…
มันง่ายกว่าที่จะเรียนรู้ความเป็นไปและตบตาคน โดยการเอาตัวเองไปวางไว้ในมือศัตรู
แม้จะถูกทำลายแต่เทเนแบรก็ยังคงเป็นเทเนแบร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการรักษา เช่นนั้นแล้วทั้งลูน่าและเรวุสจึงยังสามารถเติบโตขึ้นมาได้ตามฐานันดรเดิมของตน เสียแต่มีคำว่าภายใต้จักรวรรดิครอบหัวอยู่ก็เท่านั้น
อดีตองค์ชายคว้าเอายศสูงของกองทัพนิฟเฟิลไฮม์ไว้ได้ หลายคนมองว่าเรวุสได้รับมันมาเพื่อเป็นการรักษาหน้า แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจตราบใดที่มันยังคงพาเขามุ่งไปที่เป้าหมายได้ เขาก็พร้อมที่จะคว้ามันไว้
หากสิ่งที่ขัดหูขัดตาเขานั่นก็ยังคงมีอยู่…
“นี่เธอน่ะ ไม่ให้เกียรติไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยเหรอวันนี้?”
เสียงน่ารำคาญลอยวนเวียนอยู่ข้างหู เรวุสพยายามอย่างมากที่จะไม่ขมวดปลายคิ้วเข้าหากันหลังได้ยินคำถามนั้นเป็นรอบที่สามในห้านาทีที่ผ่านมา
“….” เลือกที่จะเงียบเพราะคร้านจะต่อคำ แต่อีกฝ่ายก็ยังตามมาอย่างไม่ลดละด้วยใบหน้าระรื่น
อาร์ดีน อาซูเนีย…ความขัดตาเพียงหนึ่งเดียวในแผนของเขา ตั้งแต่คลุกคลีกับจักรวรรดิเจ้าของเรือนผมสีไวน์ก็อยู่ในนั้นมาโดยตลอด จนแม้เรวุสจะเข้ามาทำงานแล้ว เจ้าตัวก็ยังดูไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิด ซ้ำยังน่ารำคาญขึ้นอีก
ไม่มีใครรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของที่ปรึกษาคนนี้ แต่แผนการทั้งหลายของนิฟเฟิลไฮม์ก็เต้นอยู่บนฝ่ามือนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เรวุสเดาไม่ออกและไม่เคยรู้ว่าแท้จริงแล้วอาร์ดีนต้องการอะไรจากการกระทำแต่ละอย่างของเจ้าตัว ความไม่รู้นั้นยิ่งทำให้อดีตองค์ชายรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทุกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านผู้การนี่ใจแข็งเสมอเลยน้า” คนพูดถอนหายใจ ไม่ได้ดูเสียดายอย่างที่พูดเท่าไหร่
“ถ้าหากรู้แล้วก็เลิกชักชวนอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานซักที”
“โอ๊ะโอ ยอมพูดแล้ว”
“….” เรวุสครางเสียงต่ำในคอรู้สึกเหมือนถูกลากให้ตามจังหวะไปทั้งๆที่ไม่ได้ยินยอม
อาร์ดีนหัวเราะในคอ “เธอไม่เคยตอบรับคำชวนแล้วรู้ได้ยังไงว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน”
คนฟังมุ่นคิ้วหนักหยุดขาที่กำลังก้าวเดินกอดอกสบกับดวงตาสีทอง
“อย่างนั้นก็พูดธุระของนายมาซะตรงนี้จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
“ก็แค่อยากคุยในที่รโหฐานเสียหน่อย ให้สมกับเป็นเรื่องสำคัญ” คนพูดถอดหมวกออกหมุนมันเล่นบนปลายนิ้ว
“แล้วร้านอาหารมันรโหฐานนักหรือไง”
อาร์ดีนเลิกคิ้วแล้วหัวเราะพรืดออกมา
“ถ้างั้นตอนนี้ ที่ห้องของฉันล่ะเป็นยังไง?”
 

Leave a comment